Author

iloveaday

Browsing
สวัสดีค่า เมื่ออาทิตย์ที่แล้วอ๊อฟแอบหนีไปเที่ยวลำพูนมา ครั้งแรกที่อ๊อฟไปลำพูนเมื่อสองปีที่แล้ว
อ๊อฟไปทำงานกับทาง ทสม. มาค่ะ แต่ครั้งนี้เป็นการมาเที่ยวแบบชาวบ้านๆ มาเรียนรู้วิถีชีวิตของคนยอง
และแหล่งผลิตผ้ามัดย้อมที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ใช่ค่ะ แฟชั่นผ้ามัดย้อมที่เราชอบใส่ไปเที่ยวทะเล
เที่ยวภูเขาที่ลำพูนเค้าเป็นแหล่งผลิตเลย วิธีและขั้นตอนจะเป็นยังไงตามอ๊อฟไปดูเลยค่า

แน่นอนว่ามาเที่ยวทั้งที เราต้องจัดเต็มแอบแต่งตัวให้ตรงธีมนิดหน่อย ผ้าพันคอมัดย้อมที่ซื้อมาจากกรุงเทพ
ผืนนี้ราคา 100 บาท สำหรับอ๊อฟก็คิดว่าธรรมดาไม่แพงอะไร แต่พอมาที่นี่ได้เดินดูได้ชอปปิ้ง ต้องร้องโอ้โห
ดังมาก เพราะราคาที่นี่เค้าเริ่มที่ 30 บาท เสื้อสายเดี่ยว 30-50 บาท เดรสมัดย้อม 80 -150 บาท
ถูกมากกกกกกกกกก ถูกจนต้องควักเงินมาซื้อตุนไว้เผื่อไปเที่ยวทะเล

ที่นี่ชาวบ้านเค้าเป็นคนทำกันเองทั้งหมด ขั้นตอนแต่ละตอนก็แบ่งตามทักษะความชำนาญของแต่ละคน
ตั้งแต่ขับรถผ่านเข้ามาในหมู่บ้าน เรียกได้ว่าบ้านแทบจะทุกหลังทำผ้ามัดย้อมกันเกือบหมดทั้งหมู่บ้าน
เสื้อผ้าที่นำมาทำมัดย้อมมีตั้งแต่เสื้อสายเดี่ยว เสื้อยืด เดรส ซึ่งทั้งหมดทำมาจากผ้าเมมเบิด
ขั้นตอนแรกจะใช้หนังยางมัดให้เกิดลวดลาย ซึ่งแต่ละลายก็จะมีวิธีการมัดที่แตกต่างกันออกไป
ไม่ว่าจะลายหัวใจ ลายแมงมุม ที่นี่มีหมด

หลังจากนั้นเอาไปจุ่มสี ที่นี่มีทั้งการย้อมสีครามและสีเคมี นำสีไปต้มแล้วนำผ้าไปจุ่มหรือต้มลงในหม้อ
ต้มผ้าให้สีซึม และขั้นตอนต่อไปคือนำผ้าไปจุ่มน้ำยาฟิกซ์กันสีตกที่เตรียมไว้
ดังนั้นไม่ต้องกลัวว่าซื้อไปแล้วสีจะตกเลย

แน่นอนว่าการมัดลายทำให้เกิดลวดลายสวยงาม  ซึ่งขั้นตอนการทำอ๊อฟจะอธิบายไม่ถูกต้องหรือผิดพลาด
ยังไงก็ขออภัยด้วยนะคะ มัวแต่นั่งดูคุณย่าคุณยายทำจนเพลิน

พอแกะลายออกมาจะบอกว่ามันสวยมากกกก ยิ่งรู้ว่าราคาไม่แพงยิ่งตกใจไปกันใหญ่
งานฝีมือแบบนี้ต้องทำด้วยความชำนาญจริงๆ

นอกจากจะมีสีครามแล้วยังมีการหยอดสีให้เป็นสีสันสดใส อ๊อฟก็แอบซื้อมาหลายตัวเลย เอาไว้ใส่ไปทะเล

สีสันสดใสแบบนี้ไม่พลาดที่จะถ่ายรูปอยู่แล้ว ขอเก็บไว้เป็นที่ระลึกหน่อยเนอะ

ต่อมาก็แวะมาดูการทำเสื้อบาติกย้อมเทียน ซึ่งอันนี้เค้าจะมีแม่พิมพ์ในการปั๊มลายอยู่แล้ว
ลายส่วนใหญ่ก็จะเป็นพวกดอกไม้

โดยทั่วไปกรรมวิธีในการทำผ้าบาติกไม่ซับซ้อนมาก ซึ่งมีหลักการง่าย ๆ  แต้มหรือย้อมสี
และลอกเทียนออกจากผ้า เท่านั้นเอง

ซึ่งหลังจากที่ปั๊มลายแล้วก็มีการจุ่มเทียนแล้วมาสะบัดใส่ภาพ เหมือนตอนเด็กๆ ที่เราใช้แปรงสีฟันดีดสี
ใส่กระดาษในวิชาศิลปะ ซึ่งเทียนจะช่วยเป็นการปิดส่วนที่ไม่ต้องการให้สีติดนั่นเอง

หลังจากนั้นก็ลอกเทียนออกจากผ้า จะได้ลวดลายตามที่ต้องการ เหมือนเดิมไม่ต้องกลัวสีตกนะคะ
เพราะเค้ามีการฟิกซ์สีไว้เรียบร้อยแล้ว
ชุดที่ได้ออกมาก็จะประมาณนี้ สีสันสดใส ซึ่งที่นี่เค้าทำออเดอร์กันเป็นร้อยเป็นพันส่งจังหวัดอื่นๆ
รวมถึงที่กทม.ด้วย แน่นอนว่าซื้อที่ลำพูนราคาถูกแสนถูก

กลับมาแล้วก็ต้องใส่สักหน่อย ผ้าใส่สบายมากกกก  ไปกันเถอะลำพูนเค้ามีของดีให้น่าเที่ยวจริงๆ
และถ้าใครผ่านไปลำพูนช่วงวันที่ 23-25 มีนาคมนี้ เค้ามีงานด้วยนะ ไปกันเยอะๆ นะคะ

 

 

ในที่สุดอ๊อฟก็เจอโน๊ตบุ๊คที่อ๊อฟตามหามานานแล้ว ต้องบอกก่อนว่าชีวิตของ Beauty Blogger สาวอย่างอ๊อฟ
ชอบออกไปถ่ายรูปทำคอนเท้นท์ เพื่อจะเขียนรีวิว ดังนั้นนอกจากอุปกรณ์ที่ใช้ทำงานไม่ว่าจะเป็นกล้องถ่ายรูป,
เลนส์, เครื่องสำอาง ที่อ๊อฟต้องแบกออกไปทำงานแล้ว ถ้าต้องมานั่งแบกโน๊ตบุ๊คที่น้ำหนักเยอะๆ คงไม่ไหว
และนี่เป็นสาเหตุที่อ๊อฟไม่เอาโน๊ตบุ๊คที่บ้านออกมานั่งทำงานนอกบ้านเลย
ดังนั้น สิ่งแรกที่อ๊อฟมองหาในตัวโน๊ตบุ๊ค คือ “น้ำหนักเบา” พกพาง่ายหยิบใช้งานสะดวกสบาย

เมื่ออาทิตย์ที่แล้วทาง ACER ได้ส่งโน๊ตบุ๊คมาให้อ๊อฟลอง สิ่งแรกที่ตกใจคือ เปิดออกมาแล้ว
น้ำหนักเบามาก…มากแบบที่หยิบมือเดียวถือขึ้นมาได้เลย เผลอๆ เบากว่าไอแพดเครื่องเก่าอ๊อฟอีก
พอมาดูสเปคก็ต้องตกใจ เพราะน้ำหนักของเครื่องนี้แค่  0.97 Kg เท่านั้นเอง
และรุ่นที่ทางเอเซอร์ส่งมาให้อ๊อฟลองคือ

ACER SWIFT 5

เห็นน้ำหนักเบาๆ แบบนี้ หลายคนคงคิดว่าสเปคคงไม่เท่าไหร่ อย่างดีก็แค่เล่นเฟสบุ๊กหรือทำงานแบบเบาๆ
แต่ แต่ แต่ ไม่ใช่กับเครื่องนี้แน่นอนเพราะเค้าออกแบบสเปคมาให้ทำงานได้แบบจัดเต็มด้วย
CPU 8ᵗʰ Generation Intel® Core™ i7 มาพร้อมกับ Windows 10 Home (64 bit) RAM 8 GB, SSD 512 GB

 (Full HD IPS Touchscreen)
มาพร้อมหน้าจอขนาด14 นิ้ว Full HD (1920 x 1080 pixels) และที่เซอร์ไพรส์ไปกว่านั้นคือ
เป็นจอ IPS ซึ่งเหมือนจอคอมพิวเตอร์ที่บ้านอ๊อฟเลย เพราะต้องใช้ในการทำภาพ ไม่ว่าจะเป็นการแต่งภาพ
หรือทำกราฟฟิคต่างๆ นอกจากจะประหยัดไฟแล้ว ไม่ว่าจะมองมุมไหนสีแทบจะไม่ผิดเพี๊ยนเลย
แต่ข้อเสียของจอที่อ๊อฟลองใช้คือ ผิวหน้าจอเป็นแบบเงา เวลาที่เราใช้งานในที่สว่างก็จะสะท้อนแสง
ซึ่งอาจจะรบกวนการมองของเราได้นิดหน่อย
และที่เจ๋งไปกว่านั้นคือ จอสามารถกางออกได้ 180 องศา แถมยังทัชกรีนได้อีกด้วย บอกเลยว่ามันสะดวก
ในการทำงานมาก ไม่ว่าจะแก้ไขงานหรือใช้งานทั่วๆ ไป จิ้มๆ เลื่อนๆ หน้าจอตอบสนองได้ดีมาก ไม่หน่วงเลย 
คืออ๊อฟว่าเค้าออกแบบมาลงตัวมาก ปกติอ๊อฟจะไม่ค่อยใช้โน๊ตบุ๊คในการทำงาน
ชอบใช้พีซีมากกว่าเพราะเท่าที่ใช้โน๊ตบุ๊คมา มันใช้ยาก ไม่รู้คนอื่นเป็นเหมือนอ๊อฟมั้ย แต่อ๊อฟถนัดใช้พีซีมากกว่า
เวลาใช้โน๊ตบุ๊คพิมพ์ อ๊อฟรู้สึกไม่ถนัดเลยแถมยังไม่มีเมาส์มาให้อีกต้องมาเลื่อนๆ ไถๆ เอา ถ้าอยากใช้เม้าส์ก็ต้อง
พกแยกต่างหากอีก แต่ต้องเปลี่ยนความคิดเลยเพราะหลังจากลองใช้เครื่องนี้ อ๊อฟลองใช้แบบไม่มีเมาส์
ก็สามารถพิมพ์งาน ทำโน่นทำนี่ได้อย่างคล่องแคล่ว บางทีก็ตกใจตัวเองเหมือนกัน สัมผัสของปุ่มคีย์บอร์ด
ออกไปทางนุ่มๆ ที่สำคัญมีไฟใต้คีย์บอร์ดให้ด้วยเวลาที่ใช้งานในที่มีแสงสว่างน้อย

ACER SWIFT 5 ยังมีลูกเล่นที่น่าสนใจที่ช่วยให้ชีวิตของเราง่ายขึ้น นั่นก็คือ ” การสแกนนิ้วมือ ” 
เพื่อปลดล็อกเครื่อง นั่นเอง เราสามารถใช้นิ้วแทนพาสเวิร์ดได้เลยเมื่อใช้ร่วมกับ Windows 10 ของแท้
ไม่ต้องมากรอกพาสเวิร์ดให้ยุ่งยากแค่สแกนก็เข้าใช้งานได้ทันที เหมือนมือถือยังไงยังงั้น
Acer Fingerprint reader (a bio-metric authentication system that offers a quick and secure way
for Windows 10 to verification your identity, all without those darn passwords)
การเชื่อมต่อของโน๊ตบุ๊คที่มากับเครื่องนี้คือ ช่อง HDMI, USB-C และ USB 3.0 สองช่อง
สำหรับอ๊อฟคิดว่าให้ USB ที่เค้าให้มาก็พอดีกับการใช้งานทั่วไปแล้ว ช่องนึงสำหรับเมาส์ อีกช่องสำหรับ
เสียบแฟลชไดรฟ์หรือฮาร์ดดิสก์ แต่ที่อ๊อฟคิดว่าควรจะมีเพิ่มอีกช่องนึงคือ ช่อง SD CARD
เวลาที่เราถ่ายภาพจากกล้องแล้วต้องการมาลงในคอม แต่ในเครื่องนี้ไม่มีมาให้นะคะ
ดังนั้นอย่าลืมพก Card – Reader ติดตัวไว้เวลาต้องใช้งานค่ะ

จุดเด่นที่ทำให้ตัวเครื่องเบาได้ขนาดนี้ เบาแค่ 9 ขีด ก็มาจากวัสดุของเจ้าโน๊ตบุ๊คนั่นเอง
เพราะวัสดุที่ใช้เป็นแม็กนีเซียมอัลลอยที่มีความแข็งแรงมากกว่าอลูมิเนียม
แต่ผิวสัมผัสก็ไม่ได้แย่นะคะ วัสดุไม่ได้ดูก๊องแก๊ง ก็สมกับราคาอยู่
วัสดุ Mg-Li (42% lighter than aluminum alloys) & Mg-Al (32% lighter than aluminum alloys) 

**มีสองสี คือ Charcoal Blue และ Honey Gold + Core i7 และ Core i5

ส่วนเรื่องความทนของแบตเตอรี่ ทางแบรนด์เคลมไว้ว่าสามารถใช้งานได้ยาวนานถึง 8 ชม.
หลังจากที่อ๊อฟลองใช้อ๊อฟว่ามันขึ้นอยู่กับการใช้งานของแต่ละบุคคลมากกว่า สำหรับอ๊อฟไม่ค่อยได้ดู
คลิปหรือวิดิโออะไร ส่วนมากนั่งเขียนรีวิว โพสภาพ เล่นเนตไปเรื่อย ก็ใช้งานได้นานหลายชม.
ต่ำๆ ลองนั่งทำงานแล้วจับเวลาดูก็มีมากกว่า 4 ชม. โดยที่ไม่ต้องชาร์จเพิ่มเลย

เครื่องนี้ไม่มีพอร์ต LAN มาให้นะคะ ใช้ Wi-Fi เท่านั้น
ให้สัญญาณไร้สายที่แรงสม่ำเสมอด้วยเสาอากาศระบบไร้สาย 802.11ac ที่วางตำแหน่งไว้เป็นอย่างดี และ 2×2 MIMO*
MIMO (Multiple-Input and Multiple-Output) คือมาตรฐานที่ให้การเชื่อมต่อไร้สายที่เร็วขึ้น

สรุปความเห็นส่วนตัวของอ๊อฟ นอกจากมันจะเบามากถึงมากที่สุดตั้งแต่เคยจับโน๊ตบุ๊คมาแล้ว
สเปคของเครื่องถือว่าดีมากเลย ความเร็วความแรง ความลื่นไหลในการทำงาน ไม่ว่าจะเปิดใช้โปรแกรม
Lightroom แต่งภาพ ก็ Export 100 กว่ารูปภายในเวลาไม่ถึง 5 นาที ซึ่งถ้าเทียบกับที่บ้านแล้ว
เครื่องนี้เร็วกว่าเยอะเลย  ทุกอย่างในเครื่องนี้มันตอบโจทย์มาก ส่วนข้อเสียที่อ๊อฟลองใช้เวลาเปิดโปรแกรม
ทำงานพวกตัดต่อวิดิโอหรือตกแต่งภาพจะมีเสียงดัง ดังเหมือนกันนะถ้าเทียบกับโน๊ตบุ๊คที่เคยใช้มา
โดยรวมอย่างที่บอกอ๊อฟว่ามันตอบโจทย์มาก สำหรับใครที่สนใจอ๊อฟอยากให้ไปลองถือลองเล่นกันก่อน
ที่ร้านคอมพิวเตอร์ใกล้บ้าน ซึ่งจะเริ่มวางจำหน่ายเดือนมีนาคมนี้

https://www.acer.com/ac/th/TH/content/home

 

**รีวิวนี้เหมาะกับต่างประเทศที่มีอากาศที่เย็นสบายธรรมดาจนไปถึงอากาศหนาวที่ไม่ติดลบมาก
ดังนั้นถ้าติดลบมาก ควรหาเสื้อขนเป็ด หรือเลือกเสื้อผ้าที่เหมาะสมกว่านี้ค่ะ**
สวัสดีค่ะ เมื่อเดือนธันวาปีที่แล้ว อ๊อฟได้มีโอกาสเดินทางไปประเทศญี่ปุ่นซึ่งตรงกับช่วงฤดูหนาวพอดี
อากาศหนาวสุดประมาณ – 4 องศา อุ่นสุดก็ประมาณไม่เกิน 10 องศา ต้องบอกก่อนว่าอ๊อฟไม่ชอบอากาศหนาว
เอาซะเลยเลย เพราะอ๊อฟเป็นคนที่ขี้หนาวมากแค่แอร์ 24 องศาก็หนาวแล้ว แค่อาบน้ำออกมาโดนแอร์
ในห้องนอนยังตัวสั่นเป็นลูกนกเลย ดังนั้นเลยจะต้องเตรียมตัวมากกว่าคนอื่น ซึ่งการซื้อเสื้อผ้าแต่ละที
ก็ใช้เงินไม่น้อยวันนี้อ๊อฟเลยจะมาแนะนำว่าอะไรที่ควรมี อะไรที่ต้องซื้อใส่ไปผจญความหนาว
โดยใช้งบไม่เยอะ แต่ใส่แล้วออกมาสวยไม่อ้วนตุ๊ต๊ะเป็นหมี

(เครดิตรูปภาพจากยูนิโคล่)

1. เสื้อ Heattech  แน่นอนสิ่งแรกที่เราต้องมีไม่มีไม่ได้ อ๊อฟเลือกใส่ยี่ห้อ ของ Uniqlo 

Heattech รุ่น Extra warm ราคาตอนนี้น่าจะ 590 บาท เป็นฮีทเทคบางๆไม่หนามาก

อ๊อฟซื้อใส่แค่ตัวเดียวค่ะ แต่ถ้าใครหนาวจะใส่ซ้อนกันสองสามชั้นก็ได้

เสื้อฮีทเทคจะช่วยกักเก็บความอุ่นของร่างกาย

 เมื่อข้างในตัวอุ่นก็ใช้ชีวิตง่ายขึ้น แต่ตอนนี้เค้ามีรุ่น Ultra warm ออกมา

ซึ่งเหมาะกับคนที่ขี้หนาวเป็นพิเศษ ใครหนาวมากจัดตัวนี้ไปเลย

เคล็ดลับควรใส่ไซส์ให้พอดีกับตัว ไม่ควรเลือกไซส์ใหญ่กว่า ยิ่งแนบลำตัวมากเท่าไหร่ยิ่งอุ่นเท่านั้น

(เครดิตรูปภาพจากยูนิโคล่)

2. เสื้อไหมพรมหรือสเวตเตอร์ เราจะใส่ทับฮีทเทคค่ะ เลือกแบบทอลายแน่นๆ หน่อย ยิ่งแน่นยิ่งทำให้ลม

ผ่านเข้าไปยากและแบบที่ควรเลือกคือคอปีนหรือคอเต่า แต่อ๊อฟเลือกเสื้อฮีทเทคฟรีซของยูนิโคล่มาค่ะ

ในรูปจะเห็นว่าอ๊อฟใส่ฮีทเทคฟลีชสีขาว ซึ่งอ๊อฟคิดว่ามันดีกว่าเสื้อไหมพรมเพราะมันสามารถกันลม

และกันอากาศหนาวได้ระดับนึงเลยทีเดียวค่ะ อ๊อฟเลือกสีขาวกับดำมาใส่สลับกันไป

ราคาตัวละประมาณ 290 บาท ถือว่าไม่แพงเลย ถ้าเทียบกับซื้อพวกเสื้อไหมพรมแบบแฟชั่น

3. กางเกงสกินนี่กันหนาว  อ๊อฟซื้อของแบรนด์ coatover ค่ะ ซึ่งเป็นผ้ายืดใส่สบายมาก
คุณสมบัติเค้าบอกมาว่าใส่ได้ถึงอุณหภูมิติดลบ 10 องศา อ๊อฟซื้อมาหลายปีแล้ว
เลือกสีดำมากับสีขาวเพราะใส่เข้าง่ายกับทุกชุด mix & match ใส่ไปได้ตลอด
ใส่ไปเกาหลีตอนติดลบเมื่อ 3 ปีที่แล้วก็ยังเอาอยู่ แค่อย่าให้อ้วนกว่าเดิมก็พอ 555
ราคาแรงไปนิดแต่ลงทุนครั้งแรกแล้วก็ควรเก็บรักษาดีๆ ค่ะ อ๊อฟซื้อมา 1,190 บาท

ส่วนใครไม่ชอบใส่พวกสกินนี่กลัวจะอุ่นไม่พอ ใส่กางเกงฮีทเทคแทนก็ได้เหมือนกันค่ะ

4. รองเท้าบูทยาว อ๊อฟเลือกซื้อแบรนด์ Coatover ที่อ๊อฟเลือกแบบยาวถึงเข่ามา
เพราะมันจะช่วยกันลมกันอากาศเย็นได้อีกทางหนึ่ง ทำให้หน้าขาอุ่น แต่ถ้ามีงบซื้อเป็นบูทหนังที่กันหิมะ
ได้จะดีกว่าค่ะ นอกจากจะเดินสบายไม่ต้องกลัวลื่นแล้ว ยังไม่ต้องกลัวว่าเวลาหิมะละลายหรืออากศชื้นๆ
จะเปียกหรือซึมเข้าไปข้างในรองเท้า ส่วนของอ๊อฟเลือกเป็นแบบผ้าเพราะอ๊อฟไม่ได้ไปลุยหิมะ
ดังนั้นไม่ต้องกังวลว่ารองเท้าจะเปียกค่ะ ขอแค่เท้าอุ่น ใส่เดินสบายไม่เมื่อยก็พอ
และยี่ห้อที่เลือกมาก็เป็นแบบมีส้นเพราะเราเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ เล็กนะคะ
ไม่ใช่เตี้ย 555 ดังนั้นใส่บูทมีส้นจะช่วยให้ดูสูงเพรียวมากขึ้น แนะนำแบบส้นเตารีด
จะใส่เดินได้สะดวกสบาย อ๊อฟซื้อมา 2-3 ปีที่แล้ว ราคา 1,590 บาท
ใส่เดินทั้งทริปก็ยังไม่เจ็บขา อาจจะมีเมื่อยนิดหน่อยเท่านั้นเอง

5. เสื้อโค้ท เมื่อตอนไปต่างประเทศครั้งแรกอ๊อฟซื้อพวกเสื้อโค้ทวูลมา 4-5 ตัว
แบบใส่ไม่ซ้ำกันทุกวัน ราคาก็แน่นอยู่ ตัวละสองพันกว่า พันกว่าๆก็มี แต่ไม่เคยต่ำกว่าพันเลย
ซื้อหมดทีก็เป็นหมื่นเอามาขายก็ได้ราคาน้อยไม่คุ้มกันอีก ดังนั้นมาคิดดูแล้ว อ๊อฟเลยเลือกจะซื้อ
มือสองเอาค่ะ ตัวนึงไม่เกิน 500 บาท บางตัวอ๊อฟซื้อมา 300 ก็มี ใส่เสร็จขายต่อในไอจีได้อีก
เอาเงินไปซื้อตัวใหม่ใส่ทริปต่อไป เพราะอ๊อฟไม่ค่อยใส่เสื้อผ้าซ้ำ เวลาถ่ายรูปจะได้ออกมาสวยเนอะ
และที่อ๊อฟใส่อยู่ทั้งทริปก็เป็นโค้ทมือสองทั้งนั้นเลยค่ะ แหล่งซื้ออ๊อฟจะซื้อในไอจีค่ะ
เพราะเป็นคนซื้อเสื้อผ้าทางอินเตอร์เนตบ่อยมาก แต่ถ้าใครกลัวจะใส่ไม่ได้อ๊อฟแนะนำว่าไปซื้อ
ที่ธัญญาพาร์คศรีนครินทร์เลยค่ะ ตรงชั้นที่ทำ passport ลงมาจะมีร้านขายเสื้อกันหนาว
อุปกรณ์กันหนาวมือหนึ่งมือสองสภาพดีเยอะมาก ราคาไม่แพงอีกด้วย
อ๊อฟไปดูแล้วบางตัวนี่ยังใหม่เลย ทำความสะอาดเรียบร้อย ซื้อมือสองยังคุ้มกว่าเช่าอีก
เพราะคำนวณแล้วถ้าเช่าแบบสวยๆ อ๊อฟเคยหาข้อมูลเช็คราคาตัวนึงก็ปาไป 1,000 บาทแล้ว
5 ตัว ก็ 5,000 บาทแหนะ อ๊อฟเลยคิดว่าซื้อมือสองคุ้มกว่าค่ะ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องคนที่รับได้ด้วยนะคะ
บางคนอาจจะไม่ชอบใส่เสื้อผ้ามือสอง ส่วนอ๊อฟเลือกเป็นบางอย่างค่ะ ไม่ค่อยถือ

(เครดิตรูปภาพจากกูเกิ้ล)

6. ถุงทรายร้อน อันนี้คือดีมาก อ๊อฟใช้ขยำในกระเป๋าเสื้อโค้ทแทบตลอดเวลา มันช่วยได้มากจริงๆ
ตอนที่เรายกมือออกมาถ่ายรูป มือนี่แข็งกดชัตเตอร์แทบไม่ลง นึกว่ามือหายไปแล้ว
ถุงทรายร้อนแบบนี้ช่วยได้มาก ถ้าหนาวตรงไหนก็หยิบขึ้นมาอังจะช่วยให้รู้สึกอุ่นได้ ถุงนึงอยู่ได้ตั้งหลายชม.
ราคาต่อถุง ถุงละ 30 บาทไทย อ๊อฟไปซื้อที่โน่นเอาค่ะ บางคนถามว่าแผ่นแปะๆ ที่ขายตาม 7 ช่วยได้มั้ย
สำหรับอ๊อฟ อ๊อฟว่าแทบไม่ได้ใช้เลย เพราะ ในตัวเรามันอุ่นอยู่แล้วจากเสื้อผ้าที่เราใส่มา
จะมีแต่พวกตรงศีรษะ หู จมูก แขน ขา เท้า เท่านั้นที่เวลาลมปะทะมายังคงเย็นอยู่

 

(เครดิตรูปภาพจากยูนิโคล่)

7. ถุงเท้าฮีทเทค สำหรับอ๊อฟคิดว่าสำคัญ เพราะนอกจากจะช่วยให้อุ่นแล้ว ยังไม่เก็บเหงื่ออีกด้วย
ไม่ชื้น ไม่เหม็น ซื้อคู่เดียวใส่ไปทั้งทริปเลย 555 (อย่าบอกใครไปเนอะ)

8. หมวก ที่ปิดหู ถุงมือ หน้ากาก ผ้าพันคอ อันนี้ก็สำคัญค่ะ ควรมีติดไว้เอาไว้
ตอนอ๊อฟไปเดินดูไฟตอนกลางคืน ทรมานมาก ตัวมันอุ่นแต่หนาวหน้ามาก หน้าชาไปหมด
แค่ถอดออกมาถ่ายรูป จมูกยังแดง ตาฉ่ำไปหมด ยิ่งเวลาลมปะทะมานะ อยากตะโกนดังๆ ว่า ไม่ไหวแล้วโว๊ยยย
ส่วนใครที่ไม่มีหน้ากากหรือผ้าปิดจมูกจริงๆ ก็เอาผ้าพันคอนี่แหละมาพันคอให้ปิดไปถึงปากหรือจมูกก็ได้ค่ะ
ช่วยได้เยอะเหมือนกัน แถมยังพันได้หลายแบบอีกด้วย หวังว่ารีวิวนี้จะเป็นประโยชน์แก่สาวๆ ไม่มากก็น้อย
แล้วพบกันใหม่ blog หน้าน้าาาา

 

 

 

มาค่ะ วันนี้อ๊อฟจะพาไปเที่ยว กิน ชอปกับเทศกาลอาหาร ของกินริมน้ำ ที่ทางเซ็นทรัลชิดลม
เค้าจัดงานออกมาได้ถึงความเป็นไทย แถมภายในงานยังรวบรวมเอาร้านเด็ดร้านดังคัดเอามาไว้ที่นี่ด้วย
ซึ่งงานนี้เซ็นทรัลชิดลมเค้าจับมือกับตลาดดีไซน์ ที่รวบรวมเอาอาหารจากทุกภาคกว่า 200 ร้าน
และยังมีสินค้าสไตล์ไทยๆ ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าหรือเครื่องประดับอีกมากมาย นอกจากนั้นยังมี
หนังกลางแปลงมาให้ดูอีกด้วย ฉายวันละ 3 เรื่องเชียวน้าาา และยังมีการแสดงแบบไทยๆ
หมุนเวียนเปลี่ยนกันไป ตั้งแต่เมื่อวานถึงวันที่ 4 กุมภานี้เท่านั้น
ตั้งแต่เวลา 11:00 – 21:00 ณ ลานมรกต เซ็นทรัลชิดลม 
สวัสดีค่ะ หลังจากสองปีที่แล้ว อ๊อฟได้รีวิวการเปลี่ยนสีผนังให้กลายเป็นสไตล์ LOFT ด้วยสี NIPPON PAINT
สีโมเมนโต้ สเปเชียล เอฟเฟ็คต์ ได้รับการตอบรับดีมาก ซึ่งตอนนั้นที่รีวิวขั้นตอนการทำก็ไม่ยากเท่าไหร่
แต่ตอนนี้จะบอกว่าง่ายกว่าเดิมอีก ง่ายที่แบบว่าผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่างเราก็เปลี่ยนผนังจืดๆ ให้กลายเป็น
ปูนเปลือยได้โดยไม่ต้องง้อช่างเลย แต่ก่อนจะไปดูวิธีทำไปทำความรู้จักกับผลิตภัณฑ์กันก่อนเลยค่ะ
บางคนอาจจะงงว่า สีลอฟท์ คืออะไร จริงๆ มันคือสีสร้างลวดลายคล้ายๆปูนเปลือย
ที่สมัยนี้เค้านิยมทำกันเพราะมันมีไม่เหมือนใคร แถมทาเองได้ง่ายๆ โดยที่ไม่ต้องเสียเงินเยอะอีกด้วย

นวัตกรรมสีเพื่อคนรักปูนเปลือย “นิปปอนเพนต์ โมเมนโต้ ลอฟท์”
ช่วยให้ประหยัดทั้งเวลาและค่าใช้จ่าย ด้วยวิธีที่ง่ายกว่า เพียงแค่ 3 ขั้นตอน

1. ทาสีรองพื้น

2. จุ่มสีแล้วปัดให้ทั่วผนัง

3. เก็บรายละเอียดของลวดลายตามชอบ
มีทั้งหมด 3 เฉดสีด้วยกันทาออกมาจะเป็นสีแบบปูนเปลือยเลย ได้สไตล์ดิบๆ
(เครดิตภาพ  chart สีจากบ้านและสวน)

ML 001 SOFT GREY  สีเทาอ่อน
ML 002 STREET GREY สีเทากลาง
ML 003 SHADOW GREY สีเทาเข้ม
1. สีรองพื้น โมเมนโต้ ลอฟท์ ขนาด 1 ลิตร ทาได้ 10 ตร.ม. ราคา 390 บาท
2. สีโมเมนโต้ ลอฟท์ ขนาด 1 ลิตร ทาได้ 18-20 ตร.ม. ราคา 1,050 บาท
before

ขั้นตอนที่ 1 เตรียมทำความสะอาดผนังหรือพื้นผิว

ขั้นตอนนี้คือ การทำความสะอาดผนังเพื่อไม่ให้มีพวกเศษฝุ่นหรือคราบสกปรก อ๊อฟไม่ได้ทำอะไรมาก
แค่เช็ดๆ ปัดฝุ่นให้ผนังดูสะอาดตา ผนังเดิมของอ๊อฟไม่เรียบอยู่แล้ว แต่อ๊อฟไม่ได้ซีเรียสค่ะ เพราะสไตล์
ปูนเปลือยก็ต้องดิบๆ แบบนี้แหละ แต่สำหรับใครที่ต้องการความเนี๊ยบจะใช้กระดาษทรายขัดก็ได้ค่ะ

ขั้นตอนที่ 2 ลงสีรองพื้น Nippon Paint Momento Loft Primer

หลังจากทำความสะอาดผนังเสร็จเรียบร้อยแล้ว สีเดิมของผนังที่ห้องอ๊อฟจะออกสีส้มเล็กน้อย
ถามว่าทาเลยโดยไม่ลงรองพื้นได้มั้ย ได้เหมือนกันค่ะ แต่สีที่ออกมาจะไม่เป๊ะเหมือนในกระป๋องที่เราเลือกไว้
ดังนั้นเราควรลงสีรองพื้นเพื่อปรับสีของผนังกันก่อนค่ะ ขั้นตอนนี้ใช้ลูกกลิ้งทาสีเหมือนกับการทาสีทั่วๆ ไป
ลูกกลิ้งทาสีกับถาดสีอ๊อฟซื้อแถวโฮมโปรแถวบ้านค่ะ ราคาก็ไม่เท่าไหร่ ทั้งหมดไม่เกิน 200 บาท
ก่อนจะทาสีต้องเอาเทปกาวมาติดรอบๆ ขอบผนังที่เราไม่ต้องการให้โดน เช่น ขอบบัว และอย่าลืมปูกระดาษ
หนังสือพิมพ์ที่พื้นด้วยนะคะจะได้ไม่เลอะเทอะเปรอะเปลื้อนไปรอบๆ ผนังหรือที่พื้น
แต่ส่วนตัวอ๊อฟไม่ได้ปูที่พื้นเพราะสีตัวนี้เช็ดออกง่ายมาก  หกก็ใช้แฟนเช็ด 555

หลังจากทาสีรองพื้นเรียบร้อยแล้วก็ทิ้งไว้สัก 1 ชม . อ๊อฟก็ออกไปหาข้าวทาน จะบอกว่าทั้งหมดนี่
ทำคนเดียวเลยนะ สบายมาก พอครบชั่วโมง ก็เข้ามาเช็คความแห้งของผนัง ว่าแห้งเรียบร้อยดีมั้ย

ขั้นที่ 3 เปลี่ยนผนังจืดๆ ให้เป็นปูนเปลือยด้วย Nippon Paint Momento Loft

หลังจากผนังแห้งแล้ว คราวนี้แหละเราจะมาละเลงสีกัน

ทางแบรนด์บอกว่า ” ถ้าทาแยมขนมปังได้ ก็สามารถทาสีสไตล์ลอฟท์ได้ “

 ใช้สี นิปปอนเพ้นต์ โมเมนโต้ ลอฟท์ เปลี่ยนผนังให้เป็นปูนเปลือยตามใจชอบ

โดยใช้แค่ฟองน้ำ ฟังไม่ผิดค่ะ จะทำสไตล์ลอฟท์แต่ใช้แค่ “ฟองน้ำ” อันเดียว

ตอนทาไม่ต้องคิดอะไรมาก จุ่มฟองน้ำในสี ไม่ต้องจุ่มเยอะ จุ่มแล้วปาดตรงขอบกระป๋อง แล้วมาป้ายๆ
ปาดๆ ที่ผนังเริ่มจากปาดเล็กๆ ก่อนก็ได้ค่ะ ถ้าไม่มั่นใจ จะปาดแบบไหนก็ไม่ผิดสไตล์ใครสไตล์มัน
อ๊อฟไม่มีแบบแผนรอบแรกเริ่มจากตรงกลางด้วยซ้ำ ลากๆ ปาดไปปาดมาให้ทั่ว รอบแรกสีที่ได้ก็จะบางๆ

รอสีแห้งไม่นานสัก 10 – 15 นาที ก็ทำเหมือนเดิมค่ะ ใช้ฟองน้ำปาดสีไปมา ตรงไหนเข้มก็ไม่ต้องซ้ำมาก
ตรงไหนอ่อนก็ทาเพิ่มเข้าไป  ระวังรอยเชื่อม รอยต่อของสีเวลาที่เราจะทา เพราะทาทับมากไปมันจะเข้ม
เห็นเป็นรอยต่อชัด เอาเป็นว่าสไตล์แบบนี้มันต้องไม่เท่ากันอยู่แล้ว ไม่ต้องคิดมากค่ะ

ข้อดีของการทาสีตัวนี้คือ “ไม่มีกลิ่นเหม็น” จึงไม่ต้องใส่หน้ากาก ทาสีแบบสบายๆ ชิลๆ
อ๊อฟใช้เบอร์ ML 002 STREET GREY สีเทากลาง เบอร์นี้อ๊อฟว่ากำลังสวยเพราะไม่อ่อนจนเกินไป
และไม่เข้มจนเกินไป ถ้าเราอยากให้เข้มก็ทาสองสามรอบได้ หรือมากกว่านั้น
รอบสองอ๊อฟก็ยังคิดว่ามันยังบางไป เลยมาจบที่รอบ 3 จะบอกว่าปวดข้อมือมากเพราะกระดกข้อมือตลอดเวลา
และที่สำคัญจะบอกว่าทั้งหมดนี่ทำคนเดียวด้วยนะ ไม่ให้ใครยุ่งเลย กลัวว่าจะทำออกมาไม่เหมือนกัน
ดังนั้นสำหรับอ๊อฟแนะนำว่าทาคนเดียวจะดีกว่า เพราะจะรู้น้ำหนักมือตัวเอง หนักเบาและทิศทางการปาด
ว่าจะออกมาสไตล์ไหน ปาดสั้นปาดยาว ปาดซ้าย ปาดขวา หรือปาดทับไปทับมาเป็นรูปตัว X
after
หลังจากที่รอบ 3 เสร็จ อ๊อฟก็จะเดินถอยออกมาเช็คว่ามีตรงไหนที่มันกระดำกระด่างไม่เท่ากัน
จนมองแล้วรู้สึกว่าขัดหูขัดตาหรือมันยังไม่เป๊ะ ก็จะไปนั่งเก็บงานอีกรอบ เก็บไปเก็บมา
เติมตรงนั้นที เติมตรงโน้นที ก็ได้ออกมาผลงานเป็นที่พอใจ

finish
และจากผนังเดิมๆ ก็เปลี่ยนมาเป็นสไตล Loft ใครบอกต้องจ้างช่างมาทำ ไม่จริ๊งงง ทำเองก็ได้
และใครที่กำลังอยากเปลี่ยนผนังเป็นแบบปูนเปลือย “ดิบ เท่ ง่าย สไตล์ โมเมนโต้ ลอฟท์”
ไปค่ะ โฮมโปรทุกสาขาใกล้บ้าน

WEBSITE

FACEBOOK

 

 

 

 

 

 

 

 

 

สาวๆ เคยเป็นมั้ยคะ เวลาที่เราเป็นประจำเดือนแล้วทำให้เรามีข้อจำกัดให้ไม่สามารถทำอะไรอย่างที่เราต้องการ
ทำได้ เช่น ว่ายน้ำ , โยคะ หรือทำกิจกรรมลุยๆ แต่สำหรับอ๊อฟไม่มีปัญหาเลยค่ะเพราะเราได้ผ่านจุดนั้นมาแล้ว
แต่กว่าจะผ่านจุดนั้นมา ก็เล่นเอาเหงื่อตก ถอดใจไปหลายวันเลยทีเดียว

วันนี้เลยมาขอเล่าประสบการณ์การใส่ผ้าอนามัยแบบสอดของอ๊อฟให้อ่านกัน อ๊อฟเคยได้ยินว่ามีผ้าอนามัย
แบบสอดมานานมากแล้ว แต่เอาจริงๆ ตอนนั้นไม่รู้ว่าเค้าใช้ทำอะไร เลยไม่ได้สนใจ เวลาที่มีประจำเดือน
หรือต้องทำกิจกรรมลุยๆ ก็จะอดทำทุกที มีอยู่วันนึงไปทะเลกับเพื่อนแล้วดันแจคพอตเมนส์มาพอดี
หมดกันชุดว่ายน้ำที่เตรียมมา เลยได้แต่ทำหน้าหงอยๆ นอนเล่นมือถือไป จนเพื่อนเข้ามาทักและถามว่า
ทำไมไม่ไปเล่นน้ำ อ๊อฟก็ตอบว่าเป็นเมนส์เค้าลงน้ำได้ที่ไหนล่ะ ขืนลงไปเลือดนองเต็มทะเลพอดี 55
พอเพื่อนได้ยินคำตอบก็สวนกลับมาว่าแกเป็น blogger ภาษาอะไรวะ ไม่รู้จักผ้าอนามัยแบบสอด
ผ้าอนามัยแบบสอดเค้าใส่แล้วว่ายน้ำได้ย่ะ พอได้ยินอ๊อฟก็ตกใจ ไอผ้าอนามัยแบบสอดอะรู้เคยได้ยินชื่อ
แต่ไม่รู้ว่ามันทำแบบนั้นได้ด้วยหรอ ไม่รอช้าเลยขอของเพื่อนไปใส่โดยที่ไม่รู้เลยว่ามันใส่ยังไง

หน้าตามันก็เป็นแบบแท่งเล็กๆ นิดเดียว ตอนนั้นคิดแค่ว่ามันจะใส่เข้าไปได้ยังไง ได้แต่อ่านวิธีหลังกล่อง
เค้าบอกว่าอย่าเกร็งให้ทำตัวสบายๆ จะทำให้ใส่ง่าย นี่เปิดเพลงเลยจ้า เพลงมาขนาดนี้ผ่อนคลายแน่นอน
สรุปว่ายัดไม่เข้า 555 ยัดไปนิดเดียวก็หลุดออกมา ไม่ว่าจะนั่งยองๆ ก็แล้วยกขาพาดชักโครกก็แล้ว
ออกมานอนใส่ก็แล้วไม่สามารถใส่เองได้เลย ไม่สามารถทนดูภาพเหล่านั้นของตัวเองได้เลยถอดใจไปก่อน
หลังจากนั้นก็กลับหาข้อมูลของผ้าอนามัยแบบสอด เค้าบอกว่าต้องเลือกแบบที่มี ” เครื่องช่วยสอด “
จะทำให้ใส่ง่าย มือใหม่ก็ใส่ได้ พอลองแบบที่มีเครื่องช่วยสอดก็ใส่ได้ง่ายจริงๆ ไม่ยากอย่างที่คิดเลย
หลังจากนั้นก็ใช้มาตลอดเพราะรู้สึกว่าใส่แล้วสบายเหมือนไม่ได้ใส่ มันคล่องตัว จะลุกจะเดิน กระโดด
หรือออกกำลังกายก็ไม่ต้องระวังว่าผ้าอนามัยจะขยับมั้ย จะเลอะเทอะเปอะเปื้อนหรือเปล่า
เวลาแต่งตัวไปงานก็ไม่ต้องกลัวว่าจะเห็นรอยหรือขอบของผ้าอนามัยเวลาใส่แผ่นยาวๆ

สำหรับใครยังไม่เคยลองและกำลังคิดจะลอง วันนี้อ๊อฟมีผ้าอนามัยแบบสอดมาแนะนำค่ะ Tamme’
ผ้าอนามัยแบบสอดแทมเม่ เป็นผ้าอนามัยแบบสอดที่ใช้ซึมซับประจำเดือนโดยการสอดเข้าไปในช่องคลอด
ออกแบบมาสำหรับมือใหม่และสาวเอเซียโดยเฉพาะ มาพร้อมกับแอปลิเกเตอร์อุปกรณ์ช่วยสอดใส่

มีให้เลือก 3 ขนาดด้วยกันคือ 3 ขนาดที่ว่านี้ไม่ใช่ไซส์ของน้องสาวเรานะคะ อย่าเข้าใจผิด รู้นะคิดอะไรอยู่
3 ไซส์ที่ว่านี้หมายถึงปริมาณของประจำเดือนของเราค่ะ แหมๆๆ คิดไปไกลเลย
MINI SIZE  สำหรับวันมาน้อย (1 กล่อง 16 ชิ้น ราคา 184 บาทไม่รวมค่าจัดส่ง)
REGULAR SIZE สำหรับวันมาปกติ (1 กล่อง 16 ชิ้น ราคา 184 บาทไม่รวมค่าจัดส่ง)
SUPER SIZE สำหรับวันมามาก (1 กล่อง 16 ชิ้น ราคา 184 บาทไม่รวมค่าจัดส่ง)
จริงๆ มันก็เหมือนกับผ้าอนามัยทั่วไปที่มีแบบสำหรับกลางวัน มาน้อยมาปกติ
หรือแบบกลางคืนมามาก อย่างที่เราเห็นๆ กันในท้องตลาดหรือร้านสะดวกซื้อทั่วไป

ลักษณะหน้าตาของผ้าอนามัยแบบสอดที่มีเครื่องช่วยสอด หน้าตามันก็จะเป็นแบบนี้
เป็นแท่งพลาสติกที่มีผ้าอนามัยอยู่ข้างใน ขนาดก็ไม่ได้ใหญ่อะไรมากมาย ไม่ต้องตกใจกลัวไปค่ะ
ใช้ง่าย ใส่ง่ายเพราะตัวแท่งพลาสติกจะลื่นเลยทำให้ใส่เข้าไปได้ง่ายกว่าแบบที่ไม่มีเครื่องช่วยสอด

ตัวผ้าอนามัยด้านในแท่งสอดหน้าตาก็จะเป็นแบบนี้ค่ะ อ๊อฟแนะนำว่าควรเลือกให้เหมาะสมกับวันนั้นของเดือน
เช่นมาน้อยก็เลือกใช้แบบน้อย มามากก็ใช้แบบมาก ส่วนตัวอ๊อฟก็ใช้สลับไปมาทุกไซส์ ถ้าวันแรกก็จะใช้แบบ
มาปกติ REGULAR SIZE พอวันที่ 2 -3 ก็จะใช้แบบ SUPER SIZE เพราะประจำเดือนเริ่มมาเยอะแล้ว
หลังจากนั้นก็จะเปลี่ยนกลับมาใช้ไซส์ MINI SIZE เพราะประจำเดือนใกล้จะหมด
ผ้าอนามัยแบบสอดหรือแผ่นเหมือนกันคือควรเปลี่ยนทุกๆ 4 – 6 ชม. เพื่อความสะอาดและไม่อับชื้นค่ะ
ส่วนใครยังนึกภาพวิธีใส่ไม่ออก อ๊อฟมีวิธีใส่มาบอกกันค่ะ

1.ก่อนใส่ทุกครั้งล้างมือให้สะอาดนะคะ นั่งท่าที่สบายๆ ไม่ต้องเกร็งหรือเครียดแล้วแยกขาออกค่ะ
2. ใช้มืออีกข้างหนึ่งเปิดช่องอวัยวะเพศ หันปลายหลอดให้ตรงกับปากช่องคลอด หายใจออกเบาๆ
เป่าปากนิดๆ ก็ได้ค่ะ และใส่อุปกรณ์ช่วยสอดเข้าไปในช่องคลอดจนถึงบริเวณโคนหลอด
ทริคการใส่ของอ๊อฟคือ ใส่ให้ลึกไปประมาณนึง แต่ไม่ต้องลึกมากนะคะ เอาเป็นว่าใส่ไปแล้วความรู้สึกมันจะบอก
3. ดันส่วนก้านหลอดเพื่อส่งให้ผ้าอนามัยเข้าไปในช่องคลอดจนถึงปากมดลูก
ถ้าใส่แล้วรู้สึกไม่สบายแสดงว่าอาจจะใส่ผ้าอนามัยผิดตำแหน่ง ให้ดึงออกแล้วสอดใหม่อีกครั้งค่ะ
4. วิธีถอดนั่งแยกขาในท่าสบายๆ บนชักโครกหรือจะนั่งยองๆ ก็แล้วแต่ความถนัดค่ะ แล้วดึงเชือกออกมา
เคล็ดลับ ถ้านั่งยองๆ แล้วเบ่งไปด้วย ตอนดึงเชือกจะดึงได้ง่ายกว่าปกติค่ะ

เป็นยังไงคะ ผ้าอนามัยแบบสอดไม่น่ากลัวและใส่ยากอย่างที่คิดเลย ส่วนตัวแล้วอ๊อฟชอบนะ
เพราะมันสามารถทำอะไรที่อยากทำได้ไม่ต้องมานั่งกังวลพอถึงวันนั้นของเดือนจะทำอะไรไม่ได้
กลายเป็นว่า เป็นวันนั้นทีไรก็ต้องหยิบแบบสอดมาใช้ทุกที สำหรับสาวๆ ที่สนใจผลิตภัณฑ์ของ
Tamme’ ผ้าอนามัยแบบสอดแทมเม่ ตอนนี้มีวางจำหน่ายทางออนไลน์แล้วนะคะ
สามารถเข้าไปดูรายละเอียดได้ที่แฟนเพจหรือเวปไซต์ตามลิงก์ข้างล่างได้เลยค่ะ
FACEBOOKTAMME
WEBSITE

 

TAMME

 

ใครเคยฉีดฟิลเลอร์ที่จมูกหรือกำลังคิดจะฉีด หรือกำลังคิดจะเสริมจมูก
วันนี้อ๊อฟมีประสบการณ์การขูดฟิลเลอร์และเสริมจมูกครั้งแรกมาฝากกันค่ะ

เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2560 อ๊อฟได้เข้าไปปรึกษาคุณหมอจงและคุณหมอโบ๊ทที่ Renita Clinic
เนื่องจากจมูกที่อ๊อฟเคยฉีดฟิลเลอร์มาหลายปี เริ่มไม่ได้รูปเหมือนตอนแรกที่ฉีด จมูกดูโตกว่าปกติ
ทรงเริ่มผิดรูปไปจากแต่ก่อน เลยกังวลและเริ่มเครียดเพราะถ่ายรูปออกมาไม่สวย

คุณหมอจงและคุณหมอโบ๊ทจับก็รู้เลยว่าฟิลเลอร์มันเริ่มไหลมากองอยู่ตรงสันจมูก ไปค้างอยู่แถวบริเวณหัวตา
จมูกเลยดูป้านๆ และโตกว่าปกติ หลังจากที่คุณหมอจับดูก็แนะนำว่าต้องทำการขูดฟิลเลอร์ก่อนและถึงจะเสริมได้
ต้องบอกก่อนว่าฟิลเลอร์ที่อ๊อฟฉีดมาเป็นของแท้และถูกต้องตามมาตรฐานคลีนิค เป็นยี่ห้อ Juviderm
ซึ่งอ๊อฟเข้าใจว่าฉีดแล้วมันสลายออกหมด แต่ความจริงแล้วมันไม่สามารถสลายออกได้หมด
ใครที่กำลังคิดจะฉีดอ๊อฟแนะนำว่าเสริมจมูกไปเลยดีกว่าค่ะ ไม่อันตรายด้วย
(รูปตอนไม่เคยฉีดฟิลเลอร์หรือศัลยกรรมใดๆ)
ก่อนที่จะไปดูรูปที่ฉีดฟิลเลอร์ มาดูพื้นฐานจมูกเก่าของอ๊อฟก่อนดีกว่า อ๊อฟเป็นคนมีเนื้อตรงปลายจมูก
ค่อนข้างเยอะ ปลายจะกลมๆ มีดั้งเล็กน้อยแต่ไม่ถึงกับแหมบเข้าไป เรียกว่าก็พอมีแบบน่ารักกระจุ๋มกระจิ๋ม
ต้องอาศัยการแต่งหน้าช่วยถึงจะทำให้ดั้งพุ่งขึ้นมาได้บ้าง แต่ถึงจะแต่งมันก็ไม่ได้โด่งอะไรมากมายอยู่ดี 55
ตอนนั้นมันก็ดูน่ารักสมวัยอะเนอะ
(รูปตอนฉีดฟิลเลอร์แรกๆ)
อ๊อฟฉีดฟิลเลอร์มาหลายปีแล้ว ตอนฉีดแรกๆ ยอมรับว่าสวย เนียน ธรรมชาติมาก โด่งได้ดังใจ จะเน้นปลายพุ่งๆ
หรือแบบมีหยดน้ำก็ปั้นได้ตามใจยิ่งหันข้างยิ่งสวย พอฉีดไปปีนึงจมูกก็เริ่มยุบไม่โด่งเหมือนแต่ก่อน
ก็กลับไปฉีดอีกเป็นอย่างนี้ประมาณ 2 – 3 ปี ที่เข้าๆ ออกๆ คลีนิคเสริมความงามเพื่อฉีดฟิลเลอร์

(รูปตอนฉีดฟิลเลอร์ผ่านไป 1-2 ปี)
จากในรูปพอฉีดไปสักพักใหญ่ๆ จมูกที่เคยเป็นสันก็เริ่มไม่คมแล้ว เริ่มจะบานออกข้างๆ
หน้าตรงนี่เห็นได้ชัดเลยว่าไม่คมสวยเหมือนแต่ก่อน ช่วงสันและปลายจะบวมโตออกมา

(รูปตอนฉีดฟิลเลอร์ผ่านไป 1-2 ปี ก่อนวันที่จะเสริมจมูก)
ยิ่งด้านข้างจะเห็นชัดเลยว่าตรงหว่างคิ้วจะหนาและนูนออกมา เหมือนจมูกสิงโต
เลยทำให้เครียดไปกันใหญ่ หาข้อมูลสักพักถึงเข้ามาปรึกษาคุณหมอ
พอรู้ว่าขั้นตอนแนวทางแก้ไขว่าเป็นยังไง ต้องทำอะไรบ้าง ก็ทำการนัดคุณหมอ

ตอนปรึกษาคุณหมอก็มีความกังวัลว่าถ้าเสริมซิลิโคนแล้วจะออกมาไม่เป็นธรรมชาติเหมือนตอนฉีด
เลยต้องมีการคุยกับคุณหมอเล็กน้อยว่าเราชอบสไตล์ไหน ปรากฎว่าคุณหมอโบ๊ทและคุณหมอจงที่เรนิตาคลีนิค
เค้าก็เน้นแบบธรรมชาติ มากกว่าที่จะเห็นดั้งพุ่งโด่งมาแต่ไกล ดังนั้นยิ่งมั่นใจเลยว่าทำแล้วต้องออกมาสวยแน่นอน
แนะนำว่าก่อนมาทำให้เข้ามาคุยมาปรึกษากับคุณหมอให้คุณหมอประเมิณก่อนว่าเราเหมาะกับสไตล์ไหน
ทำออกมาแบบไหนถึงจะดูดี เหมาะกับเราและไม่เป็นอันตราย เสี่ยงทะลุภายหลัง

ถึงเวลาที่ต้องทำการขูดฟิลเลอร์และเสริมจมูกแล้ว ซิลิโคนที่อ๊อฟใช้เป็นของอเมริกาแบบนิ่ม นิ่มแบบว่าบิดเกลียว
ได้เลย จมูกเก่าของอ๊อฟค่อนข้างมีเนื้ออยู่แล้วดังนั้นเคสนี้จะทำแค่การขูดฟิลเลอร์ออกก่อนและเสริมจมูก
หลังขูดทันที จมูกอ๊อฟไม่ต้องใช้เนื้อเยื่อเทียมหรือกระดูกหลังหูมารองช่วงปลายจมูก เพราะเป็นคนมีเนื้อตรง
ปลายเยอะอยู่แล้ว ไม่ใช่คนปลายจมูกบาง ดังนั้นตัดเรื่องการทะลุไปได้เลย เพราะอ๊อฟทำแบบโด่งพอดีๆ

ถ้าถามว่าตื่นเต้นมั๊ย ก็มีบ้างเพราะเป็นการเสริมจมูกครั้งแรก และก่อนจะเสริมก็ต้องทำการขูดฟิลเลอร์ออกก่อน
พอก่อนจะทำก็อ่านรีวิวมามากทั้งอ่านทั้งดูคลิปก็เลยเกิดอาการกลัว เพราะเค้าบอกว่าตอนขูดจะเจ็บมาก
แต่พอเอาเข้าจริงๆ เจ็บนิดหน่อยเท่านั้นเอง จะเจ็บก็แค่ฉีดยาชา หลังจากนั้นอ๊อฟก็ไม่รู้สึกอะไรเลย
หลังจากยาชาหมดฤทธิ์ก็ไม่ได้เจ็บอะไรมากมาย เอาเป็นว่าฉีดลดแฟตตอนยามันเดินยังเจ็บกว่า 555

และนี่คือฟิลเลอร์ที่คุณหมอทำการขูดออกมาทั้งหมด ต้องทำใจว่าอาจจะขูดได้ไม่หมด อาจจะมีหลงเหลือ
อยู่บ้าง แต่คุณหมอบอกว่าจะพยายามเอาออกให้มากที่สุดเท่าที่จะเอาออกได้ และประมาณฟิลเลอร์ที่เห็น
ก็ออกมาเกือบเต็มแผ่นผ้าก๊อตเลยทีเดียว คุณหมอบอกว่ามีต่ำๆ 4 ซีซีแน่ๆ  หลังจากขูดเสร็จคุณหมอ
ก็ทำการเหลาซิลิโคนให้เข้ากับรูปหน้า แล้วจึงใส่เข้าไป จัดแต่งปรับมุมให้พอดี เช็คแล้วเช็คอีกว่าเป๊ะมั้ย
ของอ๊อฟใช้เวลาไม่นาน จะนานก็ตรงขูดฟิลเลอร์นี่แหละ หลังจากใส่ซิลิโคนเสร็จก็ทำการเย็บปิดแผล
ด้านในจมูก ซึ่งแผลในจมูกของคุณหมอก็ทำการซ่อนเป็นอย่างดี ไม่มีทางเห็นแน่นอน
รวมแล้วใช้เวลาไปทั้งหมด 1 ชม. นิดๆ ค่ะ

หลังทำเสร็จออกจากห้องผ่าตัดก็มาถ่ายรูปกับคุณหมอ จะบอกว่าในรูปคือทั้งขูดฟิลเลอร์และเสริมจมูกแล้ว
ไม่บวมไม่แดงเลย คุณหมอมีความมือเบามากจริงๆ ณ จุดนี้ต้องขอกราบแทบตัก 555
คุณหมอที่ดูแลอ๊อฟมี 2 ท่านด้วยกันคือ
นายแพทย์ สาครินทร์ บุญบรรเจิดสุข (คุณหมอจง) ด้านขวา
นายแพทย์พลพงศ์  ชยางศุ (คุณหมอโบ้ท) ด้านซ้าย

หลังจากนั้นคุณหมอก็จะทำการแปะพลาสเตอร์เพื่อทำการดามหรือล็อคจมูกไว้ สามารถแกะออกได้ประมาณวันที่
4 – 5 ค่ะ ความรู้สึกหลังทำจะบอกว่าไม่เจ็บเลย มีแค่ตึงๆ ช่วงปลายจมูกเล็กน้อย ขั้นตอนการดูแลรักษาบอกเลย
ที่นี่อเมซิ่งมาก ตอนแรกอ่านรีวิวมาต้องเตรียมหมอนรองคอ น้ำใบบัวบก น้ำมะพร้าว งดทานของหมักดองโน่นนี่
จะบอกว่าคุณหมอไม่ห้ามอะไรเลย ไม่ต้องประคบร้อนหรือเย็น ไม่ต้องไปยุ่งกับแผลในจมูก จะนอนท่าไหน
ก็ตามสบาย และอยากทานส้มตำก็ทาน คุณหมอเน้นแค่ช่วงแรก อย่าเพิ่งทานอะไรเผ็ดๆ ที่ทำให้น้ำมูกไหล
 และต้องทานยาตามที่หมอสั่งให้ครบ มียาแก้ปวดและยาแก้อักเสบ ยาแก้ปวดทานเมื่อปวดเท่านั้น
ส่วนยาแก้อักเสบต้องทานให้ครบ และมาพบคุณหมอตามที่นัดเพื่อทำการฉีดยาลดบวมและเช็คแผลในจมูก

หลังจากทำจมูกอ๊อฟแทบจะไม่บวมหรือช้ำอะไรมากเลย มีบวมแค่ช่วงหัวตาเล็กน้อย
จะบวมช่วงประมาณวันที่ 4 จะรอยเหลืืองๆ แถวหัวตา อ๊อฟไม่ได้ทายา ประคบร้อนหรือเย็นเลย
ปล่อยให้มันหายเอง ระวังแค่ไม่ให้อะไรมาโดนจมูก ตอนนอนก็นอนตะแคงปกติ แค่เอาหมอนหนุนให้สูงเล็กน้อย
หลังจากวันที่ 10 รอยช้ำก็ค่อยๆ ยุบและจางลง จะมีก็บวมเล็กน้อย แต่ไม่ได้บวมมาก
สามารถแต่งหน้าออกไปไหนมาไหน ไปออกงานได้ปกติโดยที่ไม่มีคนดูออกเลย
ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับแต่ละคนด้วยนะคะ ว่าทำแล้วอาจจะบวมมากบวมน้อย ของอ๊อฟโชคดีที่แทบจะไม่บวมเลย
และไม่มีปัญหาเรื่องการกิน ไม่ว่าจะเป็นส้มตำ หน่อไม้ หรือของหมักดอง ดังนั้นต้องรู้ตัวเองด้วยว่าทานอะไร
ได้ไม่ได้ หรือเป็นคนทานของแสลงไม่ได้เวลามีแผลหรือทำศัลยกรรม

(หลังทำจมูก 14 วัน คุณหมอนัดเพื่อตรวจเช็คแผล)
หลังจากนั้นคุณหมอก็ทำการนัดเพื่อที่จะตรวจแผลด้านในจมูกว่าแห้งดีมั้ย มีการอักเสบหรือเปล่า
แผลของอ๊อฟเกือบจะแห้งสนิทแล้ว ตอนนี้ไม่ปวด ไม่เจ็บ มีแค่อ้าปากกว้างมากยังไม่ได้
เพราะจะตึงช่วงปลายจมูก ส่วนรอยฟกช้ำแทบจะหายสนิทแล้ว
(หลังทำจมูก 1 เดือน)
ครบ 1 เดือนแล้ว จมูกยังไม่เข้าที่เข้าทางแต่แทบจะไม่บวมแล้ว คุณหมอบอกว่ารอแค่เวลาที่จะรัดแกน
จมูกจะคมเป็นสันสวยกว่านี้ แต่แค่เดือนเดียวขนาดนี้ก็พอใจมากกกกก

(หลังทำจมูก 1 เดือน)
ด้านข้างคือสวยมาก อันนี้คือไม่ได้คิดไปเองนะ สวยจนน้องพนักงานที่ Big C เดินมาถามว่า พี่คะพี่ทำจมูกที่ไหน
สวยมากค่ะ เราก็ได้แต่ยิ้มๆ ไม่รู้ว่าจะดีใจหรือโกรธดี ได้แต่บอกไปว่า ไปค่ะ ไปเรนิตา คลีนิคได้เลย 555

(หลังทำจมูก 2 เดือน)
มีความเป๊ะมากขึ้น ไม่ว่าจะถ่ายรูปมุมไหนก็สวย ชอบมากกก ตรงช่วงหว่างคิ้วที่ขูดฟิลเลอร์มา
ตอนแรกที่มันบวมๆ นึกว่ามันจะไม่ยุบซะแล้ว สรุปว่ายุบลงเรื่อยๆ จนแทบจะเป็นปกติแล้ว
สำหรับคนที่สนใจสามารถเข้าไปพูดคุยหรือปรึกษาคุณหมอก่อนได้นะคะ
คุณหมอไม่ได้อยู่ตลอด ส่วนมากจะเข้าทุกวันอาทิตย์เพราะคุณหมอทั้งสองท่านจะประจำอยู่ที่โรงพยาบาลใหญ่
ส่วนใครที่จะเดินทางมามาพบคุณหมอ สามารถดูรายละเอียดที่อยู่หรือจะเข้าไปทำการนัดคิวได้ที่เวปไซต์
อ๊อฟใส่ลิงก์เข้าไปให้แล้วคลิกที่ชื่อคลีนิคได้เลยค่ะ

RENITA CLINIC

และพิเศษสุด ถ้าบอกว่ามาจากอ๊อฟ เพจ Iloveaday

เสริมจมูกด้วยซิลิโคนได้ในราคาพิเศษ 17,500 บาท

ใครที่รอดูคลิปประสบการณ์ขูดฟิลเลอร์และเสริมจมูก รวมไปถึงหลังทำว่าเป็นอย่างไรบ้าง

รอติดตามคลิปได้เร็วๆ นี้ทางช่อง Youtube iloveaday หรือทางแฟนเพจได้เร็วๆ นี้

Hifu คืออะไร ทำไปทำไม ทำแล้วเจ็บมากมั้ย ได้ผลดีหรือเปล่า วันนี้อ๊อฟมีคำตอบให้ค่ะ

สวัสดีค่ะ วันนี้อ๊อฟจะมาแชร์ประสบการณ์ปรับรูปหน้าให้เป๊ะกับทาง Blink Clinic 
ที่อ๊อฟเพิ่งทำมาปีที่แล้วค่ะ ต้องบอกก่อนเลยว่าพออายุล่วงเลยมา 32 ขวบแล้ว
รูปหน้าที่เคยเรียวกระชับก็กลับหย่อนคล้อย ผิวพรรณไม่สดใส แถมปัญหาหลักของอ๊อฟคือใบหน้า
ด้านขวาและด้านซ้ายไม่เท่ากัน วันนี้อ๊อฟเลยเลือกที่จะมาทำ hifu ในการปรับรูปหน้าค่ะ

และคลีนิคที่อ๊อฟมาทำก็คือ Blink Clinic By Dr.Mai สาขาสุขุมวิท 23 ใกล้แยกอโศกค่ะ
คลีนิคนี้เค้าไม่ได้ดังเรื่อง hifu อย่างเดียว แต่เรื่องเสริมจมูกนี่ดังมาก
ตอนอ๊อฟมาเห็นลูกค้ามารอทำจมูกเพียบเลย เดินทางมาไม่ยากเลยค่ะ
การขนส่งสาธารณะสามารถเดินทางมาโดย
BTS อโศก
MRT สุขุมวิท
ถ้าขับรถมาสามารถนำรถไปจอดได้ที่โรงแรมฝั่งตรงข้ามค่ะ เพราะหน้าคลีนิคจอดไม่ได้ค่ะ

ก่อนที่เราจะทำก็ต้องพบคุณหมอเพื่อวิเคราะห์รูปหน้ากันก่อน อย่างอ๊อฟปัญหาหลักๆ เลยใบหน้า
หย่อนคล้อยและรูปหน้าด้านขวาไม่เท่ากันกับด้านซ้าย ซึ่งถ้ามองหน้าตรงจะเห็นได้ชัดเลย

หลังจากที่คุณหมอประเมิณแล้ว สรุปว่าอ๊อฟจะทำแค่เพียงด้านขวาด้านเดียวเพราะใบหน้าด้านซ้าย
ได้รูปเรียวสวยอยู่แล้ว จึงต้องทำด้านขวาอย่างเดียว เพราะถ้าทำทั้งหมดก็จะไม่เท่ากันไปอีก

ขั้นตอนการทำก็ไม่ยุ่งยากเลยค่ะ ถ้าใครแต่งหน้ามาทางเจ้าหน้าที่ก็จะคลีนหน้าให้สะอาด
บางคนอาจจะกลัวว่าจะเจ็บมั้ย ทำไปแล้วต้องพักฟื้นหรือเปล่า วันนี้อ๊อฟมีคำตอบมาให้ค่ะ

HIFU ย่อมาจากภาษาอังกฤษ High Intensity Focus Ultrasound คือการนำคลื่นเสียง

ความถี่สูงที่สามารถปล่อยคลื่นเสียงออกมาโดยการโฟกัสเป็นจุดๆ ลงลึกถึงโครงสร้างเนื้อเยื่อ

ชั้นในคือชั้น SMASH นั่นเอง ผลคือกระตุ้นให้เกิดการเรียงตัวของคอลลาเจนและอิลาสตินใหม่

ทำให้ผิวยกกระชับ ได้รูปสวยงาม

ก่อนที่จะทำก็จะทำการลงเจลเย็นๆ ไปที่ผิว ไม่ต้องตื่นเต้นไม่น่ากลัวอย่างที่คิดค่ะ

ต้องบอกก่อนว่าแต่ละคนนั้นจะยิงไม่เท่ากัน เพราะหลังจากที่คุณหมอประเมิณแล้วก็จะมากด
เจ้าเครื่องนี้และก็จะประเมิณออกมาว่าจะยิงเท่าไหร่ ใช้ระดับความแรงเท่าไหร่

Hifu เหมาะกับคนที่มีผิวหน้าหย่อนคล้อยไม่กระชับ และอยากมีกรอบหน้าที่ชัดได้รูป

ช่วยยกกระชับคิ้วและโหนกแก้ม เหมาะกับคนที่กลัวเข็ม กลัวเจ็บ ไม่เสียเวลาพักฟื้น

และยังได้ผิวที่เรียบเนียนและดูอ่อนเยาว์ขึ้น

ความรู้สึกตอนยิงก็จะร้อนๆ แปร๊บๆ แบบลงไปใต้ผิว ถ้าใครที่มีเนื้อที่ค่อนข้างน้อย พอยิงไปจะรู้สึก
เจ็บไปถึงผิวด้านใน แต่ไม่ได้เจ็บแบบทนไม่ได้ต้องเลิกทำนะคะ มันก็ยังเจ็บอยู่ในระดับที่รับได้ค่ะ

และข้อดีของการทำ Hifu ก็คือ หน้าเราจะไม่มีรอยแผล ไม่มีรอยเข็ม ไม่บวม ไม่ต้องพักฟื้น
สามารถใช้ชีวิตได้ปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น 555

ตรงที่เจ็บที่สุด ก็จะเป็นแถวช่วงหน้าผาก โหนกคิ้ว แถวใต้ตา ซึ่งตรงนั้นจะมีเนื้อน้อยกว่าช่วงแก้ม
จึงทำให้รู้สึกเจ็บมากกว่าที่อื่นค่ะ

ระยะเวลาการทำก็ไม่นานค่ะ ประมาณ 20 นาที แปปเดียวก็ออกมาสวยแล้ว หลังทำมีคนถามว่าเห็นผลทันทีเลยมั้ย
แน่นอนค่ะ หลังทำปุ๊บผิวเราจะยกขึ้นทันที และหลังจากนั้นประมาณ 1-2 เดือน
รูปหน้าก็จะเรียวกระชับได้รูปมากขึ้นค่ะ

อ๊อฟทำใบหน้าด้านขวาเพียงอย่างเดียวค่ะ หลังทำจะเห็นได้ว่า แก้มด้านขวายกขึ้นมาเกือบจะเท่าด้านซ้ายแล้ว
และหลังจากนี้ไปอีกเดือนหรือสองเดือนใบหน้าก็จะยกกระชับได้รูปมากขึ้นค่ะ
แถมยังอยู่ได้นานไม่ต้องมาทำบ่อยๆ อีกด้วย อยู่ได้ถึง 1-2 ปี ขึ้นอยู่การดูแลตัวเองด้วยค่ะ

หลังทำเดือนนึงใบหน้าก็จะเรียวได้รูปอย่างที่เห็น ทำให้ถ่ายใบหน้าด้านตรงได้บ่อยขึ้น
สำหรับใครที่สนใจสอบถามรายละเอียดได้ทางลิงก์ด้านล่างเลยค่ะ

Blink Clinic By Dr.Mai

ยอมให้กับความน่ารักของเครื่องสำอางเซตนี้จาก MEILINDA กับ HOLIDAY COLLECTION 2017

ที่มีความน่ารักมุ้งมิ้ง ฟรุ้งฟริ้ง กิงก่องแก้ว

มาพร้อมกับ Sugar Frosting Mini Palette พาเลทท์อายแชโดว์สี warm tone ที่รวมเอาอายชาโดว์

และบลัชออนมาอยู่ในตลับเดียว ราคาก็น่ารัก 249 บาทเท่านั้นเอง

ตัวพาเลทอายชาโดว์และบลัชออนทำออกมา 2 ตลับ 2 โทน

#01 – Buttercream Frosting
#02 – Marmalade Frosting

และลิปแท่งจิ๋ว Mini Lip Topping 6 แท่ง 6 เฉดสี

เลยเลือกสวอชลิปสติกมาให้ดูเพราะมันมุ้งมิ้งน่ารักดี แต่ด้วยความจิ๋วนี่แหละที่ทำให้ทายากไปนิดนึง

แถมวัสดุที่ใช้ทำแพคเกจของลิปสติกก็ยังไม่ดีเท่าที่ควร แต่นะ ราคาเพียงแค่ 79 บาท

ทำออกมาได้แค่นี้ก็ดีมากแล้ว มาดูที่เนื้อลิปสติกดีกว่า

เนื้อลิปแบบเซอไพรส์มาก เพราะมันดีเกินราคา 79 บาท เนื้อลิปเนียนนุ่มมีกลิ่นหอมโกโก้

ทาง่ายเบาสบายปาก เฉดสีก็ทำออกมาได้น่ารักดี เป็นเนื้อแมทที่ไม่ได้แมทแบบแห้งด้านจนเกินไป

มีความซอฟต์ แมทแบบเบาๆ ถ้าไม่ติดเรื่องแพคเกจถือว่าน่าซื้อมาทาเล่น

แบบไม่ต้องคิดเสียดายตังค์เลย

MEILINDA FANPAGE

สวัสดีค่ะ วันนี้มาแบบด่วนๆ เพราะได้ลิปสติกมาลองเล่น  ด้วยความเห่อจึงรีบทามาให้ดู

เป็นแบรนด์ที่มีชื่อว่า Girlactik Matte Lip Paint เป็นลิขวิดลิปสติกที่ขายดีที่สุดทางแบรนด์ส่งมาให้เล่นหลายสีเลย อ๊อฟเลยคัดโทนสีที่อ๊อฟคิดว่ามันสวยและเหมาะจะใช้ในชีวิต

ประจำวันมา 5 สี ให้ได้ดูกันค่ะ ปริมาณ 7.5 ml ราคา 850 บาท

สีแรก DEMURE จะออกนู๊ดอมชมพู ซึ่งออกเป็นชมพูตุ่นๆ อ๊อฟว่าสีนี้สวยสุภาพดี

สี ALLURE ตัวนี้จะออกโทนชมพูแบบหวานๆ หวานแบบกำลังดี สาวผิวขาวทาออกมาคงน่ารักน่าดู

สี POSH ตัวนี้เป็นนู๊ดแบบอมส้ม ทาออกมาก็ดูสดใสได้ลุคแบบซนๆ

สี BLUSHING ตัวนี้จะติดส้มและมีชมพูเจือนิดๆ ออกโทนหวานอีกเช่นเคย

สุดท้าย BASHFUL ใครที่ชอบแบบนู๊ดจ๋าๆ แต่ไม่ดูป่วยสีนี้ได้เลย เพราะทาออกมาแล้วสวยมาก

สำหรับเม็ดสีและพิกเม้นต์จะบอกว่ามันดีมาก เพราะเม็ดสีแน่นปาดทีเดียวก็กลบสีปากเดิมมิดเลย

กันน้ำและไม่ต้องเติมปากระหว่างวัน ที่สำคัญทาทับก็ไม่เป็นคราบ ไม่ตกร่อง หรือแห้งแตก

ถือว่าเป็นอีกแบรนด์ที่น่าสนใจทีเดียว

ตอนนี้เค้ามีวางจำหน่ายที่ LASHES ทุกสาขาและ BEAUTICOOL และร้าน BONITA U

หรือจะเข้าไปอัปเดตโปรโมชั่นต่างๆ จากทางแบรนด์ได้โดยตรงที่  GIRLACTIK