Author

iloveaday

Browsing

สวัสดีค่ะ วันนี้อ๊อฟจะมารีวิวผลิตภัณฑ์ที่ฮือฮากันมาสักพักใหญ่แล้ว
ตอนนี้ที่ไทยก็มีวางขายโดยไม่ต้องพรีออเดอร์กันแล้ว นั่นก็คือ
GARNIER MICELLAR CLEANSING WATER 
เช็ดเดียวจบ สะอาดครบทั้งหน้าดูดเครื่องสำอางกันน้ำ ดุจแม่เหล็กไม่ต้องถู
การ์นิเย่ ไมเซล่า คลีนซิ่ง วอเตอร์ที่มีไมเซล่าเทคโนโลยี ทำหน้าที่เหมือนแม่เหล็กที่ช่วยดูดเมคอัพทั้งหน้า
ตาและปากให้สะอาดหมดจดได้โดยไม่ต้องถู ซึ่งมีออกมาทั้งหมด 2 สูตรด้วยกัน ฝาสีฟ้าและฝาสีชมพู
ซึ่งก็ออกมาเพื่อให้เหมาะกับสภาพผิวต่างๆ

การ์นิเย่ ไมเซล่า คลีนซิ่ง วอเตอร์ (ฝาสีชมพู) เป็นสูตรทำความสะอาดผิวให้ขาวใสสะอาดหมดจด
และเนียนนุ่มดูสุขภาพดี เหมาะสำหรับผิวธรรมดาไปจนถึงผิวที่มีแพ้ง่าย
การ์นิเย่ ไมเซลล่า คลีนซิ่ง วอร์เตอร์ เพียว แอคทีฟ (ฝาสีฟ้า)เป็นสูตรทำความสะอาดผิวที่ทำให้ผิวรู้สึกสดชื่นและ
ยังช่วยขจัดความมัน ช่วยลดอาการการเกิดสิวซึ่งจะเหมาะสำหรับผิวมัน เป็นสิวง่าย

วันนี้ที่อ๊อฟจะมารีวิวก็ฝาสีชมพูค่ะ ซึ่งปกติการเช็ดหน้าด้วยคลีนซิ่งเราก็ต้องใช้สำลีเช็ดๆ ถูๆ
เป็นปกติอยู่แล้ว แต่ตัวนี้เค้าบอกว่าแค่วางสำลีลงบนเมคอัพแล้วทุกอย่างจะถูกดูดออกมา
วันนี้เลยมาพิสูจน์นวัตกรรมนี้ว่าเมคอัพจะถูกดูดออกมาได้ดีแค่ไหน

อ๊อฟลองใช้กับส่วนของดวงตา วางสำลีทิ้งไว้สักครู่แล้วดึงออกมาจะเห็นว่าคราบเมคอัพหลุดออกมาได้ดีทีเดียว
อาจไม่ถึงกับสะอาดหมดจดแต่ก็ทำหน้าที่ได้ดีค่ะ ส่วนอื่นลองกับริมฝีปากก็หลุดออกมาได้ดีเช่นกันค่ะ ทั้งนี้ก็ขึ้น
อยู่กับเมคอัพที่เราใช้ด้วยนะคะ แต่ถ้าแต่งหน้าจัดเต็มใช้แต่คสอ.ที่ติดทนประมาณว่าอะไรก็ล้างไม่อยู่อันนี้ก็ต้อง
เช็ดๆ ถูๆ เหมือนกันสำหรับคนที่เซนซิทีฟบริเวณดวงตา อ๊อฟแนะนำให้ใช้เมคอัพรีมูฟเวอร์ที่ทำมาโดยเฉพาะค่ะ

ต่อมาก็ลองเช็ดทั้งหน้า เช็ดแล้วรู้สึกได้เลยว่าสะอาดหน้า สบายผิวสุดๆ ไม่เหนียวเหนอะหนะเลย
แหม พอล้างออกหมดจดหน้าก็จืดอย่างนี้เลยเชียวแหละ เอาเป็นว่าใครอยากได้คลีนซิ่งดีๆ
ราคาสบายกระเป๋าตัวนี้ก็เป็นอีกตัวที่แนะนำให้หามาลองใช้กันค่ะ หาซื้อไม่อยากแล้วนะจ๊ะ 

ขวดใหญ่ ขนาด 400 ml. ราคา 249 บาท
ขวดเล็ก ขนาดพกพา 125 ML. ราคา 99 บาท
www.facebook.com/garnierthailand
“ขอบคุณการ์นิเย่สำหรับผลิตภัณฑ์ตัวนี้ค่ะ”
ผิวขาดน้ำ สาวๆ เคยได้ยินกันมั้ยคะ หลายคนอาจเคยได้ยินและประสบปัญหานี้อยู่ อ๊อฟก็เป็นหนึ่งในนั้นค่ะ
ยิ่งอ๊อฟเป็นคนผิวแห้งด้วยเลยทำให้ตอนแต่งหน้ามีปัญหามาก ช่วงจมูกและแก้มจะเป็นขุย ซึ่งอาจจะไม่ใช่
ผิวแห้งอย่างเดียวที่ทำให้เกิดปัญหาผิวขาดน้ำ แต่ยังมีปัจจัยอย่างอื่น เช่น ดื่มน้ำน้อย การที่ผิวได้รับแสงแดด
รังสี UVA และ UVB ในทุกๆวัน มลภาวะต่างๆ รวมไปถึงการทำงานในห้องแอร์เป็นเวลานาน
ก็ทำให้เกิดอาการผิวขาดน้ำได้ค่ะ เมื่อผิวขาดน้ำก็จะทำให้เกิดปัญหาอื่นๆ ตามมา เช่น ผิวแห้งและหมองคล้ำ
เกิดฝ้า กระ จุดด่างดำ ผิวลอกเป็นขุยและเกิดริ้วรอยได้ง่าย นอกจากการนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
และการดื่มน้ำมากๆ การใช้ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยเก็บล็อคความชุ่มชื่น เติมน้ำให้กับผิวก็เป็นอีกทางเลือก
ที่ช่วยฟื้นฟูผิวให้กลับมาสุขภาพดีอีกครั้ง และวันนี้อ๊อฟก็มีตัวช่วยดีๆ มาแนะนำ
” นั่นก็คือ “KA HydroDerma WhiteEssence เค.เอ. ไฮโดรเดอร์มาไวท์ เอสเซนซ์

ที่สุดของการปรนนิบัติผิวเพื่อพื้นฐานผิวที่ดีเอสเซนซ์บำรุงผิวหน้าล้ำด้วยนวัตกรรม OXY-GSKIN BOOSTER
ช่วยคืนสมดุลยภาพสู่ผิว เผยผิวสวยใสเปล่งปลั่งผสานคุณค่าการบำรุงด้วย Natural Spring Sea Water
น้ำแร่จากใต้ทะเลลึกประเทศฝรั่งเศส อุดมด้วยไปด้วยแร่ธาตุถึง 9 ชนิด และออกซิเจนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ
การฟื้นบำรุงผิวพร้อมส่วนผสมของ WHITENING ACTIVE ถึง 3 เท่า ช่วยปรับสภาพผิวที่คล้ำเสีย
จากการขาดความชุ่มชื้นให้กลับมาขาวกระจ่างใส ผิวอิ่มฟูฉ่ำน้ำ สดใสเปล่งปลั่งแลดูมีชีวิตชีวา

ช่วยเติมเต็มให้ผิวอิ่มน้ำด้วยเทคโนโลยีของอนุภาค Advance HyaLoc  ช่วยล็อคความชุ่มชื่นของผิวชั้นบน
ห้ยาวนานยิ่งขึ้น พร้อมแทรกซึมลงสู่ผิวชั้นในอย่างล้ำลึกเข้าโอบอุ้มน้ำใต้ผิว
ให้เนียนนุ่มอย่างแท้จริงในขั้นตอนเดียว

นอกจากจะเติมน้ำให้กับผิวแล้ว จุดเด่นของผลิตภัณฑ์ตัวนี้คือ เติมเก็บ ล็อค ความชุ่มชื่นให้ผิว 
ด้วยนวัตกรรม OXY-G SKINBOOSTER ช่วยปกป้องการขาดออกซิเจนในผิว 
พร้อมกระตุ้นการสร้างออกซิเจนในชั้นผิว คืนความสมดุลสู่ผิว ทำให้ผิวอิ่มฟูมีสุขภาพดี

KA HyDroderma White Essence เจ้าเอสเซนซ์ขวดนี้ หรือ จะเรียกว่าน้ำตบก็ว่าได้มาในรูปแบบขวด
สีชมพูฝาเกลียว ใช้งานง่าย เป็นน้ำใสใสมีความเข้มข้นแต่บางเบา มีกลิ่นหอมอ่อนๆ และซึมเข้าสู่ผิวได้ดี
โดยไม่ทิ้งความเหนอะหนะและความมันไว้บนผิว
วิธีใช้ อ๊อฟจะเทเอสเซนซ์ลงบนฝ่ามือ ประมาณ 3 – 4 หยด หลังจากนั้นตบเอสเซนซ์ที่ฝ่ามือ
จะสังเกตุได้ว่าตัวเอสเซนซ์จะยืดขึ้น

 หลังจากนั้นตบเบาๆ ให้ทั่วใบหน้าและลำคอ ใช้เป็นประจำเช้าเย็นหลังทำความสะอาดผิวหน้าค่ะ

ถึงแม้ตัวเอสเซนซ์จะมีความข้นและมีความเหนียวแต่พอตบลงบนใบหน้าก็สามารถซึมลงสู่ผิวได้รวดเร็ว
และไม่เหนียวเหนอะหนะยิ่งสาวผิวแห้งอ๊อฟว่าน่าจะชอบเพราะมันตบแล้วซึมเข้าสู่ผิวได้ดีมาก
จากผิวแห้งลอกและเป็นขุยก็ดูชุ่มชื้นขึ้นด้วย

เมื่อผิวชุ่มชื้นขึ้นอะไรดีๆ ก็ตามมาเช่น แต่งหน้าติดง่ายติดทนขึ้น ทาครีมบำรุงซึมสู่ผิวได้ดีขึ้น ไม่เฉพาะสาวผิวแห้งที่เกิดอาการผิวขาดน้ำ สาวผิวมันหรือผิวผสมก็เกิดอาการผิวขาดน้ำได้ค่ะ ดังนั้น นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำมากๆ ยิ่งบ้านเราเป็นเมืองร้อนจึงทำให้เสียความชุ่มชื้นได้ง่าย และที่สำคัญเลือกครีมบำรุงหรือผลิตภัณฑ์ที่ช่วยเติมน้ำให้กับผิว เก็บล็อคความชุ่มชื่นและบำรุงฟื้นฟูผิวให้ขาวกระจ่างใสดูสุขภาพดี แค่นี้ก็จะไม่เกิดอาการผิวขาดน้ำแล้วค่ะ 

KA HYDRODERMA WHITE ESSENCE
25 ml ราคา 99 บาท
110 ml ราคา 395 บาท
 

วันนี้อ๊อฟจะพาไปถ่ายรูปเล่นที่นึงที่สาวๆเห็นแล้วจะต้องสะกิดคนข้างๆให้พาไป  บอกไว้เลยต้องห้ามพลาด!!!!ไปถ่ายรูปลงไอจีซะเพราะที่นี่คือ”สายลมบางปู”
SailomBangpoo, CeramicCafe

แต่ตรงที่อ๊อฟภูมิใจนำเสนอเป็นในส่วนคาเฟ่ที่ตกแต่งไปด้วยงานเซรามิก

เห็นแล้วจะต้องหลงรักเพราะมันโล่งโปร่งสบายตกแต่งประดับประดา
ไปด้วยงานเซรามิกเก๋ๆน่ารักๆเต็มไปหมด
แต่ๆๆๆเค้าไม่ได้เอามาตกแต่งอย่างเดียวเค้ายังมีขายอีกด้วยแก้วชามของเล็กๆน้อยๆ
เค้าตั้งอยู่ที่เดียวกับร้านอาหารสายลมบางปูอยู่ในซอยบางปู 72
ขับรถเลยมาจากสถานพักตากอากาศบางปูไม่ไกลจิ้มgooglemapโลดไม่หลงแน่นอน
บรรยากาศที่นี่ก็โล่งโปร่งสบายอย่างที่เห็นอากาศร้อนแต่ก็มีลมเย็นๆโชยมา
นี่เค้ามีกาแฟอิตาเลี่ยนโซดาและเครปกับบราวนี่ขายแต่ชอบสุดก็เป็นอิตาเลี่ยนโซดา
รสเสาวรสลาเวนเดอร์เปรี้ยวซ่าหอมหวานสะใจแก้วละ 85 บาท ขนาดแก้วใส่น้ำยังน่ารักเลย ที่นี่เค้าตกแต่งน่ารักมากถ้าใครได้มาต้องชอบ
ใครอยากได้ของน่ารักๆกลับบ้านก็เลือกซื้อได้เลยราคาก็มีตั้งแต่ 1xx จนไปถึงหลักพัน
มุมถ่ายรูปที่นี่เค้าก็สวยแสงก็ดีอ๊อฟถ่ายแทบจะทุกมุม
เดินไปเดินมามันก็วอแวอยากจะได้ของกลับบ้าน
ดูข้างในกันให้จุใจเดี๋ยวอ๊อฟจะพาออกไปข้างนอกแล้ว
ออกมาข้างนอกแสงกำลังสวยเลยตอนอ๊อฟไปอยู่จนถึงมืดเลยช่วงที่ถ่ายก็จะ 4-5 โมงเย็น
มุมชิวๆจิบกาแฟเพียบเลยวันที่ไปคนค่อนข้างเยอะนะคะเพราะเป็นวันหยุด
ฟ้าใสๆตัดกับเซรามิคสีสวยๆดูสดใสดีจัง
ใครไม่รู้จะไปไหนอย่าลืมแวะมาถ่ายรูปเล่นกันเนอะอ๊อฟยังอยากมาอีกเลย
ถ้ามาอีกจะไปตรงโซนร้านอาหารเพราะเดินเข้าไปดูแล้วสวยดี

สวัสดีค่า วันนี้อ๊อฟจะมาแนะนำเทคนิคการแต่งตัวและการถ่ายรูปที่ช่วยให้ดูผอมเพรียวได้ง่ายๆ
โดยที่ไม่ต้องใช้วิธีลดน้ำหนักเอาเป็นว่าถ้าตอนนี้ใครอวบอ้วนหรือมีบางมุมที่ไม่มั่นใจอยู่
แบบว่าถ่ายออกมามุมไหนก็ดูอ้วน รับรองทำตามได้รูปสวยๆ ชัวร์

ท่าที่ 1 . เอะอะอะไรก็พอยท์ขา
ท่านี้ไม่ยาก ยืนเฉยๆ มันจะดูแข็งไป ได้โปรดสวมวิญญาณนางแบบพอยท์ขาเข้าไว้ โดยจิกขาไว้ข้างหนึ่งและทิ้งสะโพกไว้
อีกข้างหนึ่ง ถ้าไม่มั่นใจในส่วนไหน เช่นคิดว่าต้นขาใหญ่ไปให้ใช้กระเป๋าใบใหญ่ๆ มาปิดหรือพรางเอาไว้
การแต่งตัวช่วยเราได้อีกมากเช่นกัน อ๊อฟเลือกกางเกงสีเข้มเอวสูงขาบานมาใส่กับส้นสูงจะช่วยให้ขาเราดูเรียวยาว
ขึ้นอีกด้วย สูง 157 เซน อย่างอ๊อฟก็บวกเพิ่มมา 165 เซนทันที

ท่าที่ 2 ก้าวเดินแบบเผลอๆ สวยๆ 
คิดอะไรไม่ออกให้เดินเลยจ้า ท่านี้ให้จินตนาการว่ากำลังเดินชมนกชมไม้ อากาศดี ๆ ลมเย็นๆ อะไรทำนองนี้
เดินไปเรื่อยๆ ระหว่างนี้ก็กดชัตเตอร์รัวๆ ก้าวขาให้ดูธรรมชาติเข้าไว้อย่าเกร็ง ถ้าใส่ส้นสูงได้ใส่โลด
จิกไปเลย 4-5 นิ้ว รับรองเพรียวแน่นอน

ท่าที่ 3 การถ่ายภาพครึ่งตัว(half portrait)
ท่านี้ไม่ต้องกังวลว่าขาจะใหญ่ จะสั้นมั้ย เพราะเราจะถ่ายแค่ครึ่งตัวเท่านั้นเอง ลืมเรื่องขาสั้น ขาใหญ่ไปได้เลย
หมดปัญหาเรื่องรูปร่าง ส่วนคนที่กลัวจะแขนใหญ่อ๊อฟแนะนำเสื้อแขนยาวที่ไม่โชว์แขน ไม่ควรใส่เสื้อสายเดี่ยวและแขนกุด
หาเสื้อแขนยาวระบายน่ารักๆ ช่วยเพิ่มความหวาน แถมยังอำพรางแขนอวบๆ ได้อีกด้วย

ท่าที่ 4 หันข้างแล้วหลบเข้าป่า
 
ท่านี้ไม่ยากเกินไป เห็นดอกไม้ใบหญ้าข้างทางรีบแทรกตัวเข้าไปโลด รูปที่ออกมามันก็จะดูฮิปสเตอร์หน่อยถ้าไม่มีป่า
ไม่มีต้นไม้ ไม่มีดอกหญ้าหละ จะทำยังไง ก็หันข้างเข้าเฟรม เอียงหน้าให้กล้องเล็กน้อย ยิ้มหวานซะหน่อย
ปล.ชุดเปิดใหล่จะช่วยอำพรางต้นแขนและทำให้ดูเซ็กซี่เล็กๆ ได้อีกด้วย ไปหามาใส่กันนะจ๊ะ

ท่าที่ 5 เมื่อยแล้วขอนั่งหน่อย
ท่านี้ถ้าเห็นบันไดให้รีบลงไปนั่งเลย จะนั่งหันหน้าตรงๆ หรือหันข้างก็ได้ ขอให้เหยียดขาข้างหนึ่งออกมา
กระกดปลายเท้าขึ้นเล็กน้อยถ้ากดปลายเท้าลงจะทำให้เท้าเราเกร็งแล้วน่องอาจจะโป่งขึ้นมาได้
ดังนั้นกระดกเชิดขึ้นแบบสบายๆ แค่นี้พอ

ท่าที่ 6 พิงกำแพงหรือประตู
ท่านี้แค่มีผนังหรือประตูก็พิงได้ทันที หันหลังพิงกำแพงยืดขาข้างหนึ่งไว้ด้านหน้า อีกข้างยันกำแพงไว้
ท่านี้จะช่วยให้สาวอวบดูเพรียวขึ้น จะให้ดีใส่ส้นสูงด้วยจะช่วยจะทำให้ขาเรียวยาวมาก
พร้อมแล้วโพสแบบไม่มองกล้องหรือมองไปทางอื่น ก็จะได้ภาพแบบเผลอๆ สวยๆ แล้ว

ท่าที่ 7 ไขว้ขาเป็นตัว X
ลองไขว้ขาเป็นตัว X แล้วยืดปลายเท้าไปด้านหน้า เขย่งเท้าเล็กน้อยก็จะช่วยให้ดูสูงขึ้นกว่าเก่า
ถ้ายังกังวลเรื่องต้นขาให้เอามือมาวางแปะไว้ที่ต้นขาช่วยอำพรางได้นิดหน่อย ท่านี้ต้องหันหน้าเข้ากล้อง
อย่าหันข้างเด็ดขาดเพราะจะทำให้เห็นความหนาของช่วงขา อ๊อฟพลาดมาแล้ว ถ่ายผิดมุมชีวิตเปลี่ยน 555

ท่าที่ 8 หันหลังให้กล้อง
ท่านี้แค่เดินหลังหลังแล้วให้เพื่อนเรียกชื่อ ส่วนเราก็หันมาสวยๆ แบบอะไรนะ แต่จะหันหลังแบบตรงๆ
ไม่ได้ต้องหันหลังเอียงนิดๆ แอ่นก้นนิดหน่อย แล้วก้าวขายาวๆ เหมือนจะเดินพร้อมกับหันหน้าเอียงคอ
ยิ้มเบาๆ ให้กล้องเพียงแค่นี้ก็จะออกมาผอมเพรียวแล้ว ส่วนสาวๆ ที่มีรูปร่างอวบให้ลองใส่กางเกงที่ดูหลวมๆ
และไม่รัดต้นขาจนเกินไปเลือกเนื้อผ้าทรงปล่อยๆ แบบพริ้วๆ บางๆ สบายๆ จะช่วยให้เสื้อผ้าดูเด่นและดูรูปร่างเพรียวขึ้นค่ะ
สวัสดีค่า อ๊อฟคนดีคนเดิมเพิ่มเติมคือเพิ่งซื้อแป้งมาใหม่ ใช้มาสักพักแล้ว มันดีอะ เลยมารีวิวให้สาวๆ ได้ดูกัน
แน่นอนว่าไม่มีใครไม่รู้จักน้องฉัตรเนอะช่างแต่งหน้ามือทองที่มีผลงานเป็นที่โดดเด่นมาก และไม่นานมานี้
รู้สึกว่าจะต้นปีน้องฉัตรก็ได้ออกแป้งตัวนึงมา ชื่อว่า แป้งรัน (RAN)

แป้ง Ran แป้งอัดแข็งผสมรองพื้นควบคุมความมัน ผสมสารป้องกันแดด (สูตรปกปิด)ปกป้องแสงแดดด้วย
SPF 30 PA++++ เป็นแป้งเนื้อแมทที่ช่วยปกปิดแต่ไม่หนักหน้า ควบคุมความมัน กันน้ำกันเหงื่อและติดทนนาน

แป้งรันเค้ามีทั้งหมด 3 เบอร์ด้วยกัน 
 
R11 สำหรับผิวขาวอมชมพู
 
R22 สำหรับผิวขาวเหลือง
 
R33 สำหรับผิวสองสี
 
อ๊อฟเลือกเบอร์ R33 มา เพราะเคยไปลองเบอร์ R22 ของเพื่อนแล้วมันขาวเกินผิวอ๊อฟไป 

ว่ากันด้วยแพคเกจก็เป็นตลับแป้งสีขาว ซึ่งทำแพคเกจออกมาได้ดี ตอนซื้อมีกล่องใส่ให้ด้วย
แต่อ๊อฟไม่ได้หยิบมาถ่ายด้วยตลับก็โอเคไม่ได้ดูก๊องแก๊ง เหมาะสมกับราคา ปริมาณ 14 กรัม
อ๊อฟซื้อมา 790 บาทค่ะซึ่งจริงๆ แล้วทางแบรนด์เค้าก็เคลมไว้เยอะมากไม่ว่าจะเป็นคุณสมบัติ
หรือสารบำรุงซึ่งถ้าพวกสารบำรุงผิวเราจะมองข้ามไป เพราะมันอาจจะไม่ได้เห็นผลขนาดนั้น

ก่อนที่จะซื้อดูรีวิวมาก็เยอะ ตอนแรกคิดว่าตัวเองต้องใช้เบอร์ R22 แต่พอไปลองกลับพบว่า R22 มันขาวเกินไป
ส่วน R33 ก็กำลังดี ไม่ได้เข้มมากเนื้อแป้งก็เป็นแบบแมท เป็นแป้งผสมรองพื้นที่ใช้ได้กับทุกสภาพผิว

มาดูที่สภาพผิวอ๊อฟกันดีกว่า อ๊อฟเป็นคนผิวแห้งซึ่งไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องรอยดำรอยแดงจากสิว
รูขุมขนก็พอมีบ้าง ช่วงนี้ขยันบำรุงผิว สภาพผิวก็เลยดีหน่อย

อ๊อฟลองทาให้ดูครึ่งหน้า ครั้งแรกที่ทาแป้งก็ไม่ได้คิดว่ามันจะดีแบบที่โปรโมทกัน เห็นในไอจีมาก็เยอะ
พอมาลองเอง เออ มันดีแฮะ เนื้อแป้งเนียน ทาง่ายไม่เป็นคราบ
ขนาดไม่ได้บำรุงผิวก็ยังไม่แห้งตึงหรือเป็นคราบอะไร
พอทาทั้งหน้าก็จะเห็นว่ามันปกปิดพวกจุดด่างดำได้ดีพอสมควร แต่ก็ไม่ได้ปกปิดแบบมากกกก
เพราะยังจะมีความบางเบาดูเป็นธรรมชาติอยู่

พวกรอยช้ำใต้ตาก็ปกปิดได้พอสมควร โดยที่ไม่ต้องพึ่งคอนซีลเลอร์เลย มันเหมาะกับชีวิตประจำวัน
เหมือนกันนะเป็นวันที่ต้องการให้ผิวดูเรียบเนียน แต่ก็ไม่ได้หนาโบ๊ะจนเกินงาม ถ้ารอยดำรอยแดงมากหน่อย
ก็ต้องแตะๆ ทาๆ ทับบริเวณที่ต้องการปกปิด

หลังจากโชว์หน้าสดมานานแล้วก็ขอแต่งหน้าเพิ่มสักหน่อย อ๊อฟว่าก็ประหยัดเวลาการเตรียมผิวไปได้พอสมควร
ไม่ต้องลงรองพื้น ลงแป้งฝุ่น ใช้ตลับนี้ตลับเดียวจบ ส่วนเรื่องสีของแป้ง อ๊อฟว่าอาจจะมีน้อยไปหน่อย
ส่วนตัวเบอร์ R33 อ๊อฟว่ามันก็ไม่ได้เข้มมากนะ  
ซึ่งอ๊อฟว่าควรจะหาเพื่อนที่เคยซื้อแป้งรันแล้วไปของลองทาเทียบดู เพราะดูจากตาบางทีมาเทียบกับสีผิวเรา
มันก็อาจจะไม่ได้เป๊ะอะไรมากมาย สรุปๆๆๆๆ หลังจากที่ใช้มาพักใหญ่แล้วทั้ง INDOOR และ OUTDOOR
เรื่องควบคุมความมันก็ได้ดีระดับนึง อาจเพราะอ๊อฟไม่ได้เป็นคนหน้ามันมากจึงไม่ต้องมากังวลเท่าไหร่
จะมีมันก็ช่วงทีโซน ระหว่างวันไม่เป็นคราบไม่ตกร่อง ซับหน้าออกมาแป้งก็ไม่ได้ติดทิชชู่ออกมา 
กันน้ำกันเหงื่อ อันนี้กันจริง

สรุปอีกรอบ สำหรับใครที่มองหาแป้งที่คุณภาพดี ราคาโอเค อ๊อฟว่าแป้งรันก็พอที่จะเทียบเค้าเตอร์แบรนด์
ได้เลยทาแล้วจะได้ผิวเนียนสวยแบบธรรมชาติไม่หนาโบ๊ะ ตกเย็นๆ ผิวจะดูฉ่ำๆ เล็กน้อยไม่ได้เยิ้มหรือ
แบบมันวาวอะไร คือก็ชอบนะคุ้มกับราคาที่ซื้อมาก
 ปล. ลิปสติกที่ใช้ของ 4U2COSMETICS KISS ME HARDER X BLOGGER สี MHUNOII เด้อ
 

สวัสดีค่ะ ขอเริ่มภาพเปิดมาที่ดอกพญาเสือโคร่ง หรือ ซากุระเมืองไทย เลยละกัน ทริปนี้เป็นทริปที่วางแผนกันข้ามปี เนื่องจากซื้อเต้นท์มาใหม่เลยอยากไปลองของกัน คิดไปคิดมาถ้าจะกางเต้นท์ต้องวิวดีๆ หน่อย นอนมองดูดาว อากาศเย็นๆ เราเลยเลือกที่จะไปเชียงรายกันนั่นเอง

ด้วยความที่เราไปช่วงมกราก็ยังถือว่าโชคดีมากที่จะได้เห็นดอกพญาเสือโคร่งบาน เพราะเค้าจะบานถึงประมาณช่วง
 
เดือนกุมภาหลังจากที่ลงจากเครื่องบินก็ทำการเช่ารถ ทริปนี้เราจะเน้นอยู่กับธรรมชาติล้วนๆ จะไม่เข้าเมือง
 
ไปให้วุ่นวายจะใช้เวลาอยู่กับธรรมชาติให้มากที่สุด

ที่แรกที่เราจะไปคือ ภูชี้ดาว เป็นจุดที่ชมทะเลหมอกได้สวยที่สุดอีกที่ไม่แพ้ภูชี้ฟ้าเช่นกัน
 
แต่ที่อ๊อฟไปมันช่วงเวลาเที่ยงกว่าๆ 

เรียกว่าไปเซอร์เวย์ชมบรรยากาศกันก่อน แต่ถึงจะอากาศเย็นแดดที่นี่ก็ร้อนแรงไม่แพ้กัน
 
จะได้ภาพสวยต้องอดทนเนอะ ถ่ายวนไปค่ะจะขึ้นมาภูชี้ดาวนี่ไม่สามารถขับรถส่วนตัวขึ้นมาได้ต้องรถ 4×4 เท่านั้น
 
แล้วที่นี่ก็มีรถให้บริการขึ้นมาด้วยค่ะ ไม่แน่ใจว่าจ่ายไปเท่าไหร่น่าจะคนละร้อยกว่าบาทได้ ขึ้นไปต้องผ่านหมู่บ้าน
 
ทางค่อนข้างแคบและชันแถมข้างบนยังไม่มีไฟฟ้า ที่พักและร้านอาหารดังนั้นถ้าจะขึ้นไปควรจะเตรียมน้ำพกไปดื่ม
 
ระหว่างทางด้วย เพราะเราต้องเดินกันไกลพอสมควรเลยทีเดียวอีกอย่างจะเดินตรงนี้ต้องระมัดระวังด้วยนะคะ
 
ซ้ายก็เหวขวาก็เหวเดี๋ยวจะพลัดตกลงไป

ขึ้นมาด้านบนแล้ว อากาศดีมาก ท้องฟ้าแจ่มใสไม่มีหมอก ดูนี่จิมองเห็นยอดภูชี้ฟ้าเลย เราจะไปนอนกันตรงโน้น

จัดแจงกางเต้นท์ให้เรียบร้อย วันที่ไปเป็นวันธรรมดาดังนั้นคนที่จะมากางเต้นท์ก็ไม่มากเท่าไหร่ เรียกได้ว่าส่วนตัว
 
สุดๆอากาศมันหนาวมากจริงๆ เลยต้องเช่าเตาไฟซื้อข้าวโพดปิ้งมาประทังความหนาว ยิ่งสูงยิ่งหนาว ยิ่งดึกก็ยิ่ง
 
หนาวเช่นกันแต่จะบอกว่ามันโคตรคุ้มเลยบรรยากาศหลักแสนมาก ดาวเป็นดวงๆ ได้นอนมองดาวแค่นี้ก็สุขใจแล้ว
 
วันนี้ต้องรีบข่มตานอนก่อนเพราะอากาศมันหนาวมาก พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้าเดินขึ้นไปดูพระอาทิตย์ขึ้น

เราตื่นกันแต่เช้าน่าจะประมาณตีสี่ตีห้าได้เพื่อจะเดินขึ้นมาดูพระอาทิตย์ขึ้น อากาศหนาวและคนก็ขึ้นมาค่อนข้าง
 
เยอะเหมือนกันต่างคนต่างจับจองที่จะถ่ายรูป บางครั้งมองผ่านกล้องมันก็ลดทอนความสวยงามของภาพ
 
ที่เห็นด้วยตาตัวเองเหมือนกัน
ภาพสวยก็ให้เป็นหน้าที่ของช่างภาพส่วนตัวไป ส่วนเราก็บันทึกความทรงจำ
 
และดื่มด่ำกับบรรยากาศตรงนั้นให้ได้มากที่สุด

สเน่ห์ของที่นี่อีกอย่างคือเราจะเห็นเด็กดอยตัวเล็กแก้มแดงๆ ยืนอยู่ข้างทางส่งเสียงร้องเพลงเจื้อยแจ้ว
 
หลังจากที่ดูพระอาทิตย์ขึ้นเสร็จแล้ว ด้วยความง่วงก็เดินลงมาเพื่อที่จะนอนต่อ บอกแล้วเราไม่รีบเราจะพัก
 
ผ่อนแบบสุดๆ สายๆ ค่อยออกเดินทางไปผาตั้ง เราจะเปลี่ยนที่นอนกันอีกแล้ว โปรดติดตามด้วยใจอันระทึก

มาต่อกันที่ผาตั้งที่นี่เค้ามีจุดชมวิวกันหลายจุด ไม่ว่าจะเป็นเนิน 102 กับเนิน 103
 
จุดชมวิวผาบ่อง จุดชมวิวช่องผาขาด ศาลาเก๋งจีน 
เอาเป็นว่าถ้าได้มาแล้วก็เดินให้ครบละกันจะได้ไม่เสียเที่ยวขึ้นๆ ลงๆ เดินไปเดินมาหลายรอบ
 
ว่าแต่ว่าแค่เดินรอบเดียวก็แย่แล้ว

มาถึงดอยผาตั้งแล้ว ไม่ถ่ายรูปถือว่าผิด จริงๆ ก็ไม่ผิดหรอกเนอะ แต่ก็ถ่ายสักหน่อยเค้าจะได้รู้ว่ามาถึงแล้ว
 
ก็บอกแล้วในส่วนของภาพสวยๆ ให้เป็นหน้าที่ของช่างภาพไป บีบๆ นวดๆ พี่เค้าเดี่ยวก็ใจอ่อน (รักนะจึงหยอกเล่น)

อย่างที่บอกว่ามีจุดชมวิวหลายจุด แต่ละที่ก็มีมุมให้ถ่ายรูปเล่นกันเพลินๆ
 
หลังจากถ่ายรูปกันเสร็จเดี๋ยวเราจะไปกางเต้นท์กัน

ตั้งแต่มาทริปนี้ยังไม่เสียตังค่าที่พักซักกะบาท คุ้มจริงๆ จะเรียกว่าประหยัดก็ไม่ใช่เพราะเราเอาเงิน
 
ไปจ่ายค่าตั๋วกับเช่ารถหมดแล้ว ฮ่าฮ่า

นอกจากเราจะได้เห็นพระอาทิตย์ขึ้นแล้ว เรายังได้ดูพระอาทิตย์ตกอีกด้วย แนะนำให้จับมือคนข้างๆ มาด้วยกัน
เพราะบรรยากาศมันโรแมนติกมาก สายลม แสงแดดและเกลียวคลื่น เอ้ยไม่ใช่ ลมหนาวๆ กับกอดอุ่นๆ ถึงจะถูก

แน่นอนว่าหนาวขนาดนี้ต้องก่อกองไฟเช่นเคย มันหนาวจนไม่รู้จะพูดยังไง หนาวขนาดที่ต้องพกผ้านวมผืนใหญ่

มาเลยมีผ้านวมผืนใหญ่แล้วชีวิตจะง่ายขึ้น จิบเบียร์เย็นๆ ก็ช่วยทำให้ร่างกายอุ่นเหมือนกัน

เค้าบอกมาไม่รู้เค้าไหน แต่อ๊อฟก็ยังหนาวเหมือนเดิมแน่นอนว่าน้ำเนิ้มต้องไม่ได้อาบทิชชู่เปียกเท่านั้น

หนาวขนาดนี้จะบ้าหรอ จะให้อาบน้ำยังไง เช็ดตัวแล้วไปนอนซะ เนื่องจากมันเป็นที่โล่ง กลางคืนลมจึงแรงมาก

เช่นกัน แรงจนเต้นท์สั่นเลยทีเดียว แต่ก็ผ่านไปด้วยดีสำหรับการนอนเต้นท์ของเรา

จะดีแค่ไหนที่ตื่นมาเจอฟ้าสวยๆ อากาศเย็นๆ แบบนี้ ใครที่ยังลังเลว่าจะมากางเต้นท์ดีมั้ย ขอร้องหละมาเถอะ
 
รับรองว่าฟิน บรรยากาศดี วิวดี ทุกอย่างมันดีไปหมด เก็บเงินแล้วจองตั๋วซะ ถ้าจะเที่ยวเหนือสักครั้ง
 
ก็เชียงรายนี่แหละ ที่ ” ต้องมา”

สวัสดีค่ะ วันนี้อ๊อฟขอพักเรื่องสวยๆงามๆและการออกกำลังกายก่อน  วันนี้อ๊อฟจะมารีวิวสถานที่ถ่ายรูป
ที่เพิ่งเปิดมาได้ไม่นานแต่จะบอกว่ามันสวย และเหมาะแก่การถ่ายรูปเป็นอย่างมาก

นั่นก็คือ”ชมเฌย”นั่นเองบางคนอาจจะยังไม่รู้จักต้องบอกก่อนว่าเป็นสถานที่ที่สร้างขึ้นมาเป็นเมืองเก่า
ย้อนยุคไปหลายปีของที่ตกแต่งภายในก็ของเก่าและหายากทั้งนั้น
ด้านในก็มีโรงหนังเก่าซึ่งมีหนังเก่าฉายจริงๆ ของด้านในก็ของเก่าจริงๆ

เมื่อเข้ามาเราจะเห็นว่ามันเป็นเมืองเล็กๆเมืองนึงเลยรายละเอียดทุกอย่างดีมาก

แต่ละมุมน่าถ่ายรูปทุกมุมอ๊อฟเตรียมเสื้อผ้ามาเปลี่ยนเพื่อที่จะถ่ายแบบชุดไม่ซ้ำด้วย ชุดที่เลือกอ๊อฟแนะนำว่า
ควรจะเป็นแบบลูกไม้กระโปรงหรือชุดอะไรก็ได้ที่ดูเข้ากับสถานที่เวลาถ่ายออกมามันจะดูสวยมากดูกลมกลืน
คนที่มาส่วนใหญ่ก็มาถ่ายรูปทั้งนั้น
เห็นภาพออกมาสวยๆแบบนี้แต่จะบอกว่าร้อนมากกกกก แต่อยากมีรูปสวยๆก็ต้องยอมเนอะ
อ๊อฟนี่เดินจนหัวร้อนเลย

ตามร้านแบบนี้จะมีรั้วกั้นไม่ให้เข้าไปนะคะเพราะเป็นของเก่าบางชิ้นก็มีมูลค่ามาก 
ดังนั้นถ่ายแต่ข้างนอกเนอะถึงขนาดมีรั้วกั้นแบบนี้ก็ยังมีคนเข้าไปอีก

ใครที่ชอบดูของเก่าๆหายากที่นี่เค้ามีเยอะมากของบางอย่างก็เกิดไม่ทัน

สิ่งที่แนะนำเลยมาทุกที่ควรถ่ายทุกมุมจริงๆ

กำแพงที่นี่เค้าดูแนวดีเนอะยืนถ่ายสักหน่อย

อากาศร้อนแบบนี้ต้องเก๊กฮวยแก้วใหญ่ๆเติมความสดชื่น
มาที่นี่ไม่ต้องกลัวหิวนะคะที่นี่เค้ามีร้านอาหารบริการเดินๆหิวแวะมาทานได้ทันที

ถ้ามาวันธรรมดาคนจะไม่ค่อยเยอะแต่ถ้าเสาร์-อาทิตย์ต้องรออาหารกันหน่อยนะคะเพราะมีร้านเดียว

สั่งอาหารเสร็จก็ออกมานั่งทานข้างนอกได้ค่ะร้อนแบบนี้เห็นแล้วอยากโดดน้ำ

มาที่นี่ต้องกินเมนูนี้โกโก้มิลค์ตัวน้ำแข็งเป็นโกโก้เข้มๆ ราดนมจืดหอมๆมันๆเทไซรัปนิดๆเข้ากันกำลังดี

ราคาก็ไม่ได้แพงเหมือนร้านกาแฟ ร้านอาหารทั่วๆ ไป ถ้ามาวันธรรมดาคนจะไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่
ส่วนเสาร์-อาทิตย์ก็เยอะพอประมาณ อาคารที่นี่จะสร้างในสไตล์โคโรเนียล จึงทำให้ย้อนกลับไปเหมือน
อยู่ในรัชกาลที่ ๕ที่นี่เค้ามีโรงหนังที่ฉายหนังเก่าๆ ด้วยนะ น่าสนใจมาก ใครที่วันหยุดไม่รู้จะไปไหนขอให้มาที่นี่ดู
รับรองจะชอบ ปล.แดดร้อนมากกกกกกกกกก
ที่ตั้ง : 68 หมู่ 4 ซอยกำนันทินกร ตำบลศาลากลาง อำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี
เวลาเปิด-ปิด : ปิดวันจันทร์ วันอังคาร-ศุกร์ ตั้งแต่เวลา 10.00-18.00 น. วันเสาร์-อาทิตย์ ตั้งแต่เวลา 10.00-19.00 น.
รูปแบบเต็มๆ ทุกมุมแบบจุใจตามเข้าไปดูได้ในลิงก์เลยค่า

สวัสดีค่ะวันนี้อ๊อฟจะพาไปเดินเล่นกันที่”บ้านบางเขน”  จะบอกว่าไปเถอะสถานที่มันดีมากอ๊อฟไปอยู่ตั้งแต่เที่ยงๆ ยันมืดเลยเพราะที่นี่เค้าเปิดกัน24ชม.วิวดีมากกลางวันก็สวยกลางคืนพอเปิดไฟก็โคตรสวยที่นี่เค้าเป็นศูนย์การเรียนรู้ศึกษาเรื่องราวในอดีตที่มีทั้งของเก่าโบราณมีบ้านพ่อหลวงมีของสะสมหายากจำลองสถานที่เก่าๆไว้มากมายใครที่เป็นสายวินเทจยิ่งห้ามพลาด
ที่นี่เค้าตกแต่งแบบสมัยเก่าจำลองออกมาเป็นบ้านเรือนที่มีความเก่าแก่ มีผนังเก๋ๆให้ถ่ายรูปหลายมุม
ที่นี่เหมาะมากแก่การมาถ่ายรูปเล่น
ซึ่งที่เราเห็นส่วนมากก็เป็นไม้แทบทั้งนั้นมีมุมถ่ายรูปเก๋ๆเยอะมาก  ถ่ายได้แทบทุกมุมเลย
ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่ได้ภาพสวยๆกลับไปรับรองได้ภาพแน่ๆ
วันธรรมดาคนจะไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่แต่ถ้าเสาร์-อาทิตย์คนมาเดินเล่นเยอะแน่นอน
แต่ถึงจะเยอะก็ยังสามารถถ่ายรูปออกมาได้สวยนะเออ
จะมากับเพื่อนกับแฟนหรือพาครอบครัวมาอ๊อฟก็ว่ามันเหมาะมาก
เพราะที่นี่เค้ามีอะไรน่าสนใจตั้งหลายอย่าง

ยิ่งพาคุณพ่อคุณแม่มาอ๊อฟว่าท่านน่าจะชอบเพราะมันทำให้รำลึกถึงความหลังดี
ที่นี่นักศึกษามาก็เยอะส่วนมากมาอ่านหนังสือคุยการกันเพราะเค้ามีสถานที่แอร์เย็นๆ ไว้บริการ

นี่ถ้ามีหนังสือให้อ่านแบบห้องสมุดนะอ๊อฟว่าฟินนั่งอ่านมันทั้งวัน
เดินกันเหนื่อยแล้วที่นี่เค้าก็มีคาเฟ่ไว้บริการแถมเปิด 24ชม. อีกต่างหาก
คาเฟ่ที่นี่ค่อนข้างใหญ่ตกแต่งสวยงามน่านั่งมากมีมุมสวยๆเพียบ
ที่สำคัญบิงซูอร่อยมากถ้วยละร้อยกว่าบาทเองไม่แพงเลย  แถมเอาตั๋วค่าเข้าที่เราเสียไป 20 บาท
มาเป็นส่วนลดค่าอาหารได้อีกด้วย
หน้าตาคูปองที่เราต้องเสียก่อนเข้าบ้านบางเขน ไม่แพงเลยเพราะเราไม่ได้เสียไปเปล่าๆ
ได้ใช้เอามาเป็นส่วนลดค่าอาหารอีก
หลังจากกินกับอิ่มเราก็จะไปถ่ายข้างนอกกันต่อ
อ๊อฟมาตั้งแต่ช่วงบ่ายเลยมาอยู่จนถึงค่ำเพราะอยากเห็นบรรยากาศตอนกลางคืน
พอเค้าเริ่มเปิดไฟก็รู้สึกคิดถูกแระที่อยู่รอดู
บ้านต้นไม้เป็นจุดที่อ๊อฟชอบมากเพราะมองแล้วคิดถึงตอนเป็นเด็กๆอยากมีบ้านแบบนี้

มาที่นี่มีบ้านพ่อหลวงให้เข้าไปกราบเข้าไปดูด้วยของข้างในทำให้คิดถึงพ่อหลวงจริง ๆ

แค่ได้เข้ามาในนี้สำหรับอ๊อฟก็คุ้มแล้ว

ตอนกลางคืนที่นี่ยุงค่อนข้างเยอะนะคะถ้าใครจะอยู่ถึงมืดแนะนำควรพกซอฟเฟลมาค่ะ
ของเก่าที่นี่ก็มีให้เข้ามาดูและมาถ่ายรูปเล่นเยอะเลย เห็นแล้วคิดถึงตอนเป็นเด็กใช่มั้ยหละ
โซนด้านนอกอาหารจะหลากหลายมากกว่าก๋วยเตี๋ยวเอยข้าวเอยขนมเอยเยอะแยะไปหมด
มีให้กินกันจนมืดแต่ตรงนี้ไม่ได้เปิด 24 ชม.นะคะ

ใครไม่รู้จะไปไหนแวะมาที่บ้านบางเขนรับรองอิ่มท้องและอิ่มใจกลับไปในแน่นอน

*บ้านบางเขนอยู่เขตบางเขนตรงข้ามราบ11ติดสวนอาหารบางบัว  
 
(มีที่จอดรถฟรีแต่ไม่เยอะมาก) ถ้าจอดรถที่สวนอาหารบางบัวเสีย50บาท 
 
**ค่าเข้าคนละ20บาท
สวัสดีค่ะ วันนี้อ๊อฟมีของเล่นใหม่จะมาร่วมพิสูจน์ให้สาวๆ ได้ดูกัน นั่นก็คือ แป้งฝุ่นโปร่งแสงอัดแข็ง TAP
BLUR&BRIGHT จาก COSLUXEที่เค้าบอกว่าช่วยเรื่องเบลอรูขุมขนพร้อมให้ผิวดูกระจ่างใสทันทีหลังการใช้
เห็นอย่างนี้แล้วอดใจไม่ไหวที่จะลองแน่นอน

COSLUXE Tap Blur&Bright Air Compact Powder ด้วยอนุภาคแป้งแบบพิเศษที่มีโมเลกุลขนาดเล็ก
ช่วยให้ผิวเรียบเนียน และไม่อุดตันรูขุมขน ใช้เซทผิวหน้าหลังลงรองพื้นหรือบีบีครีมได้อย่างดีเยี่ยม 
เบาสบายผิวตลอดทั้งวัน
แป้งTranslucent มาในรูปแบบตลับ พกพาง่าย ไม่เป็นฝุ่นฟุ้งให้กวนใจเหมาะสำหรับทุกสภาพผิว
ปกปิดและควบคุมความมันไม่เป็นคราบระหว่างวัน

ใช้ได้ทั้งพัฟและแปรงคาบูกิที่แถมมา แปรงคาบูกิขนนิ่มไม่บาดหน้า
ก่อนที่จะลงแป้งสภาพผิวอ๊อฟก็จะมีพวกรอยเส้นเลือดนิดๆ หน่อยๆ และรูขุมขนที่กว้างเล็กน้อย
แต่ก็พอจะมองเห็นยิ่งช่วงจมูกจะกว้างจนเห็นเป็นรูๆ
ซึ่งเวลาที่ยังไม่แต่งหน้าตรงจมูกและแก้มจะเห็นชัดเจนมาก
ปกติแป้งฝุ่นแบบโปร่งแสงจะมาแบบเป็นผง แต่อันนี้มาในรูปแบบตลับใช้งานง่าย พกพาสะดวกสบาย
อ๊อฟไม่ได้ลงรองพื้นหรือบีบีครีมเลย เพราะอยากให้เห็นว่าตัวแป้งช่วยเบลอรูขุมขนได้จริง ๆ
ส่วนข้างที่ไม่ได้ทาตามร่องจมูกและแก้มก็จะเห็นว่ายังมีรูขุมขนอยู่
หลังทาทั้งหน้าจะเห็นว่าหน้าดูไบรท์ขึ้น แถมยังช่วยเบลอรูขุมขนได้ดีอีกด้วย

สำหรับอ๊อฟ ถ้าผิวหน้าไม่มีปัญหามาก อ๊อฟว่าตัวนี้เอาอยู่ปัดนิดๆ หน่อยๆ ก็ได้ลุคแบบใสๆ เบาสบายผิวแล้ว
แต่แป้งตัวนี้ไม่ได้ช่วยเรื่องปกปิดมากนะคะถ้าใครที่มีรอยดำรอยแดงจากสิวและต้องการปกปิดหน่อย 
ก็ต้องทารองพื้นหรือบีบีครีมก่อน แล้วปัดทับก็จะได้ finish look แบบผิวสวยสุขภาพดี
ส่วนเรื่องที่บอกช่วยเบลอรูขุมขุนอ๊อฟให้ผ่านเลยเบลอได้จริงๆ เบลอจนแทบจะมองไม่เห็นรูขุมขนเลย
ตัวนี้สำหรับอ๊อฟคุมมันได้โอเค ระหว่างวันอาจจะต้องมีการซับผิวบ้าง แต่ก็ไม่ได้มันเยิ้มอะไร
ปัดทับอีกรอบผิวก็จะผ่องขึ้นมา

ใช้คู่กับแปรงบอกเลยว่าผิวจะนวลเนียนมาก ได้ลุคธรรมชาติสุดๆ ขนแปรงเค้านิ่มไม่บาดหน้าจริงๆ นะเออ
ตอนนี้ทางเพจ COSLUXE เค้ามีโปรโมชั่นอยู่นะ
แป้งบางเบา+แปรงหนานุ่ม ปกติ 689 บาท
ให้คุณเป็นเจ้าของก่อนใคร ในราคา 399 บาท
มีจำหน่ายที่นี่ที่เดียว !!!
  มิติใหม่แห่งผิวสวย ด้วยการบำรุงที่ล้ำลึกกว่า ” O’lesté ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวครอบคลุม 360 องศา เริ่มจากทำความสะอาด ปรับสมดุลบำรุงลึก คืนความสดชื่น ปราศจากสิว ผิวหน้ากระจ่างใสอมชมพูอย่างเป็นธรรมชาติภายใน 3 สัปดาห์ (ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล)

ซึ่งวันนี้อ๊อฟเลยจะมาอัพเดตผลิตภัณฑ์ที่น่าสนใจของแบรนด์ O’lesté ที่กล่าวมาทั้งหมดด้านบนค่ะ
คอนเซปท์ของผลิตภัณฑ์ทั้งหมดดูน่าสนใจรวมไปถึงกระบวนผลิตผสมผสานเทคโนโลยีและ
ความเป็นธรรมชาติรวมไปถึงการพัฒนาและบำรุงผิวที่ล้ำลึกกว่าด้วยเทคโนโลยี Nano Emulsion
ที่ทำให้สารสกัดในการบำรุงผิวมีขนาดเล็ก จนซึบซาบเข้าสู่ชั้นเซลล์ผิวได้อย่างรวดเร็ว
กระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่ ปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ กระชับรูขุมขน ผิวกระจ่างใสอย่างเป็นธรรมชาติ

จริงๆ แล้วผลิตภัณฑ์ของแบรนด์ O’lesté ยังมีอีกหลายตัวแต่ที่เห็นอยู่ตรงหน้าอ๊อฟมีทั้งหมด 5 ตัว ด้วยกัน ได้แก่
1. O’lesté Facial Cleanser  
O’lesté Facial Cleanser ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้าได้อย่างล้ำลึก โดยไม่ทำอันตรายต่อผิวหน้า แม้กระทั่งผิวที่บอบบางหรือแพ้ง่าย ขจัดไขมันและสิ่งสกปรกที่อุดตันในรูขุมขน ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดสิว อีกทั้งยังมีสารสกัดจากธรรมชาติรวมทั้งคอลลาเจน 

ราคา 900 บาท

2. O’lesté Nano Serum 

ซีรั่มที่นำเอาสารสกัดจากธรรมชาติที่อุดมไปด้วยคุณสมบัติที่ช่วยฟื้นฟูปรับปรุงสภาพผิวหน้าและลำคอ ผ่านกระบวนการนาโนอิมัลชั่นช่วยเสริมสร้างทำให้ผิวมีสุขภาพแข็งแรง ผิวพรรณกระจ่างใส ลดเลือนริ้วรอย เหมาะกับทุกสภาพผิวแม้กระทั่งผิวที่แพ้ง่าย

ราคา 1,900 บาท

 

3. O’lesté Facial Mist 
Mineral Ecology Water คือ เทคโนโลยีขั้นสูงสามารถเพิ่มพลังงานในน้ำแร่ที่มีแหล่งที่มาจากทัวร์มาลีนคัดพิเศษ ใช้เทคโนโลยีการผลิตรูปแบบใหม่สเปรย์น้ำแร่ที่อุดมไปด้วยแร่ธาตุซึ่งช่วยเพิ่มความแข็งแรงของเซลล์ผิว ให้กับผิวที่ขาดน้ำและผิวแห้งช่วยยับยั้งแบคทีเรีย ลดการอักเสบและช่วยลดอาการแพ้ของผิวหนัง
อันเป็นสาเหตุมาจากของการแพ้เครื่องสำอาง

ราคา 690 บาท

 

4. O’lesté Acne Gel 
 

เจลแต้มสิวที่นำเอาสารสกัดจากธรรมชาติซึ่งมีฤทธิ์ในการต้านเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดสิว รวมทั้งสารที่ทำให้ลดการอักเสบ ลดการระคายเคืองและลบรอยจุดด่างดำที่เกิดจากแผลสิว

ราคา 300 บาท

5. O’lesté Facial Whitening Cream 

ครีมที่อุดมไปด้วยสารสกัดจากธรรมชาติ ซึ่งได้พัฒนาสูตรเพื่อตอบสนองความต้องการของผิวหน้าและลำคอ ช่วยฟื้นฟูสภาพผิวหน้าให้กระจ่างใสอย่างเป็นธรรมชาติ
ราคา 990 บาท

และไฮไลท์ของวันนี้ที่อ๊อฟจะมารีวิว คือ ผลิตภัณฑ์ที่อ๊อฟเชื่อว่าสาวๆ ทุกคนต้องมีพกติดกระเป๋าคสอ. แน่นอน
นั่นก็คือสเปรย์น้ำแร่นั่นเอง FACIAL MIST (โอเลสเต้ เฟเชียล มิส) สเปรย์น้ำแร่ที่อุดมไปด้วยแร่ธาตุและมีไอออน
ประจุลบอยู่เป็นจำนวนมากที่สำคัญมีอนุภาคขนาดนาโนไซด์ซึ่งมีขนาดเล็กมากผสมผสานเข้ากับทัวร์มาลีน
เรียกว่าเป็น Mineral Ecology Water

ซึ่งช่วยเพิ่มความแข็งแรงของเซลล์ผิวให้กับผิวที่ขาดน้ำและผิวแห้ง สารประจุลบที่อยู่ในน้ำทัวร์มาลีน
มีประสิทธิภาพสูงในการแทรกซึมเข้าสู่เซลล์ผิวเพิ่มความชุ่มชื่นในทันทีและทำให้ผิวสดชื่นขึ้น
สัมผัสได้ในครั้งแรกเมื่อพ่นลงบนผิวหน้าทำให้เซลล์ผิวแข็งแรงและช่วยให้ผิวหน้ายกกระชับ
รวมไปถึงการช่วยยับยั้งแบคทีเรีย ลดการอักเสบและช่วยซ่อมแซม
ปัญหาผิวต่างๆ เพื่อประสิทธิภาพสูงสุดควรใช้คู่กับผลิตภัณฑ์
 O’lesté Facial Whitening Cream ,O’lesté Facial Cleanser, O’lesté Nano Serum
Mineral Ecology Water ช่วยให้เครื่องสำอางติดทนขึ้น สามารถฉีดพ่นสเปรย์เพิ่มความชุ่มชื้น
ของผิวหน้าได้ทุกเวลา โดยไม่ทำให้เครื่องสำอางลบเลือน จริงๆ แล้วนอกจากเราจะใช้สเปรย์น้ำแร่
ฉีดก่อนแต่งหน้าเพื่อให้เครื่องสำอางติดทนแล้วยังสามารถฉีดได้บ่อยตามที่ต้องการ 
เมื่อไหร่ที่รู้สึกว่าผิวแห้งขณะที่อยู่ในห้องแอร์หรืออยู่ข้างนอก ยิ่งประเทศไทยเป็นเมืองร้อน
ก็หยิบออกมาฉีดได้ทันทีหัวสเปรย์พ่นฟองออกมาได้ละเอียดมาก มีกลิ่นหอมอ่อนๆ จากดอกกุหลาบ
บัลแกเรียฉีดแล้วสดชื่นสบายผิวดีค่ะ

O’lesté Facial Mist ขนาด 50 ml. ราคา 690 บาท มี 2 สูตร

1. Absolute Bulgarian rose (สูตรดอกกุหลาบบัลแกเรีย) ราคา 690 บาท

2. Absolute Facial Mist (สูตรปกติไม่มีดอกกุหลาบบัลแกเรีย) ราคา 690 บาท

http://www.olesteskincare.com/

https://www.facebook.com/olesteskincare/