Category

Healthy

Category
สวัสดีค่า วันนี้อ๊อฟภูมิใจนำเสนอมากเพราะแอบไปซุ่มทดลองใช้ผลิตภัณฑ์
ดูแลเส้นผมของแบรนด์แบรนด์นึงมาจนเกือบครบ 2 เดือน แล้วผลลัพธ์ของอ๊อฟ
และแฟนมันดีเกินคาด ต้องบอกก่อนว่าจริงๆ แล้วอ๊อฟเป็นคนผมค่อนข้างหนา
แต่ผมร่วงหนักมากกก ย้ำว่าหนักมากร่วงเป็นกำๆ ร่วงทีคนในบ้านตกใจเลย
เดินไปไหนก็มีแต่เส้นผมของอ๊อฟเต็มไปหมดส่วนแฟนอ๊อฟผมค่อนข้างบาง
และร่วงนิดหน่อยค่ะ เลยตัดสินใจพักการใช้แชมพูทั้งหมดที่มีส่วนผสมของสารเคมี
และมาทดลองใช้ผลิตภัณฑ์ของแบรนด์ Chati (ฌาฏิ) ใครที่เป็นสายออแกร์นิค
บอกเลยว่าจะต้องชอบเพราะผลิตภัณฑ์ของแบรนด์ Chati (ฌาฏิ)
เค้าเป็นผลิตภัณฑ์ออร์แกนิคที่มีส่วนผสมของสมุนไพรธรรมชาติ
และไม่มีส่วนผสมที่ก่อให้เกิดการแพ้หรือระคายเคืองค่ะ

เริ่มกันที่ตัวแรก Chati Anti-Hairloss Shampoo เป็นแชมพูออแกร์นิค
ที่มีส่วนผสมของสมุนไพรไทยและ Rich Natural Oil หลากหลายชนิด
ไม่ว่าจะเป็นสารสกัดทองพันชั่ง,ฮอปส์,ส้มป่อย, ปะคำดีควาย,มะกรูด,โสม,ถั่วลันเตา,พริก

และสารสกัดจากอัญชันที่ช่วยลดผมร่วง ลดความมันและอาการ
คันบนหนังศีรษะช่วยให้รากผมแข็งแรง เร่งการงอกใหม่ของเส้นผม

จุดเด่นของเค้านอกจากจะเน้นเรื่องส่วนผสมจากธรรมชาติ
สิ่งที่อ๊อฟชอบคือเค้าปราศจากสารเคมีที่จะทำให้ผมหรือหนังศีรษะเราเกิดการระคายเคือง
ไม่มีพาราเบน
ไม่มีน้ำหอม
ไม่มีซิลิโคน
ไม่มีไตรโคซาน
ไม่มี SLS/SLE สารลดแรงตึงผิว
ถ้าใครชอบฟีลกลิ่นหอมของมะกรูด กลิ่นหอมแบบสดชื่นๆ
ตัวนี้รับรองไม่ผิดหวัง เพราะเค้ามีกลิ่นหอมอ่อนๆ ของ ESSENTIAL OIL
ของมะกรูด ลาเวนเดอร์และโรสแมรี่ที่ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายค่ะ
แชมพูตัวนี้เค้าค่อนข้างจะเข้มข้นและมีฟองน้อยนะคะ จะไม่ได้ฟองเยอะ
เหมือนแชมพูทั่วไป เวลาสระไปแล้วอาจจะรู้สึกว่าไม่ค่อยสะอาด แต่จริงๆ แล้ว
เค้าทำความสะอาดหนังศีรษะและเส้นผมได้ดีมากเลย แนะนำให้สระ 2 ครั้ง
ครั้งละ 1-2 ปั๊มก็พอค่ะ ถ้าใครที่ผมร่วงเยอะเหมือนอ๊อฟแนะนำว่าให้งดครีมนวดผมไปก่อน
อาจจะใช้พวกน้ำมันมะพร้าวบำรุงเอา เพราะถ้าใช้พวกครีมนวด
อาจจะมีสารเคมีตกค้างและอาจจะทำให้ผมกลับมาร่วงอีกได้ค่

สำหรับสาวๆ ที่กังวลว่าใช้แล้วจะปลอดภัยมั้ย บอกเลยว่าปลอดภัยมั่นใจ
หายห่วงแน่นอนค่ะเพราะเค้าผ่านการทดสอบลดการระคายเคืองของหนังศีรษะ
จากประเทศญี่ปุ่น ปลอดภัยต่อคุณแม่ตั้งครรภ์และผู้ป่วยเคมีบำบัดด้วยค่ะ

หลังจากที่ลองใช้มาจนเกือบจะครบสองเดือน ภาพก่อนใช้คือผมที่ร่วง
หลังสระผมเสร็จนะคะ จะร่วงแบบนี้เป็นประจำ พอได้ใช้แชมพู Chati Anti-Hairloss Shampoo
อ๊อฟไม่ใช้ครีมนวดเลยนะคะ ผมจะสากๆ หน่อยแต่รับได้
บำรุงด้วยน้ำมันมะพร้าวที่ปลายผมเอา หลังใช้คือผมค่อยๆ ร่วงน้อยลง
ตามพื้นตามทางเดินที่บ้านแทบไม่ค่อยมีเลย หลังสระเสร็จก็จะร่วงประมาณนี้ค่ะถือว่าดีมากกกก
ผมร่วงน้อยลงจนเห็นได้ชัดเลย

ตัวต่อมาเป็นเซรั่ม Chati Advance Hair And Scalp Serum เซรั่มที่มีสารสกัดหรือส่วนประกอบหลักๆ จากข้าวกล้องงอกสังฆ์หยด อาร์แกนออยล์ สารสกัดจากธรรมชาติ 100% และรีเดนซิล Redensyl สารสกัดจากนวัตกรรมใหม่ที่ถูกพัฒนาขึ้นจากงานวิจัยทางการแพทย์ ที่ช่วยลดปัญหาผมขาดหลุดร่วง ช่วยกระตุ้นการงอกใหม่ของเส้นผมได้จริง ช่วยรักษาอาการระคายเคืองของหนังศีรษะ ใช้ตัวนี้ควบคู่กับแชมพูบอกเลยว่าผมร่วงน้อยลง
แถมผมขึ้นใหม่และลูกผมขึ้นหยุบหยับเลย

ตัวนี้เค้าเป็นเซรั่มที่เน้นฉีดเฉพาะจุดนะคะ ตรงไหนที่รู้สึกผมน้อย ผมบาง
ฉีดเข้าไปเลยตามแสกผมเลยค่ะ ฉีดแล้วนวดเบาๆ เพื่อกระตุ้นการไหลเวียน

ใช้ได้ทั้งเช้าและเย็นเลยค่ะ ฉีดได้ทุกวันจะดีมาก
แม้ไม่ได้สระผมก็ต้องฉีดนะคะฉีดทุกวัน…ดูสิผมขึ้นชี้โด่ชี้เด่เลย

ส่วนตัวอ๊อฟไม่ค่อยมีปัญหาผมบางตรงกลางศีรษะเท่าไหร่
เลยเน้นฉีดช่วงลูกผมด้านหน้าค่ะผลที่ได้ คือ จากลูกผมเยอะๆ อยู่แล้ว
ยิ่งฉีดก็ยิ่งแน่นยิ่งเยอะเข้าไปอีก

ส่วนของแฟนเป็นคนผมด้านหลังบางค่ะ อ๊อฟเลยให้เน้นฉีดตรงที่บางๆ
ฉีดตามแสก เน้นว่าบังคับฉีดนะคะ ต้องจับฉีดทุกวัน 555 ไม่งั้นแฟนจะชอบลืม

อ๊อฟแนะนำเลยว่าควรใช้ควบคู่กันทั้งแชมพูและเซรั่มนะคะ เพราะใช้คู่กันแล้วผลลัพธ์ดีมากกก
ผมขาด ผมร่วงน้อยลง ผมเกิดใหม่งอกขึ้นทุกวันที่สำคัญแฟนเค้าหัวไม่บางแล้ววว
สำหรับสาวๆ ที่สนใจผลิตภัณฑ์ของแบรนด์ Chati
สามารถดูรายละเอียดหรือรีวิวเพิ่มเติมหรือกดที่ Link หรือภาพได้เลยค่ะ
Https://www.facebook.com/chati.official

ในหนึ่งวันของอ๊อฟนอกจากที่จะต้องถ่ายรีวิวแทบจะตลอดเวลาอยู่แล้ว 
หลังจากที่ถ่ายรีวิวเสร็จก็ต้องนั่งทำรูป โพสงาน พูดคุยกับแฟนเพจ เรียกได้ว่าวันๆ นึงหมดเวลาไปกับการนั่งทำงานหน้าคอมพิวเตอร์เยอะมากกก ขนาดอ๊อฟไม่ได้นั่งทำงานในออฟฟิศนานๆ เหมือนกับคนอื่น ยังรู้สึกเลยว่ามีอาการปวดคอและบ่า บางทีลามไปถึงหลังเลย ซึ่งปกติเวลาอ๊อฟนั่งหน้าคอมนานๆ จะมีอาการปวดสะบัก ปวดต้นคอเป็นประจำอยู่แล้ว ทางแก้ของอ๊อฟก็คือ พุ่งตรงไปร้านนวด เดือนละครั้งสองครั้ง แต่พอกลับมานั่งทำงาน กลับมาขับรถก็มีอาการปวดอีก อาการเหล่านี้มันเกิดจากพฤติกรรมการนั่งทำงานและการขับรถของอ๊อฟ ซึ่งอ๊อฟเป็นคนที่ชอบนั่งทำงาน ชอบขับรถหลังค่อมเพราะรู้สึกว่ามันสบาย 
แต่จริงๆ มันเป็นท่านั่งที่ผิดและส่งผลต่ออาการปวดหลัง ปวดคอและบ่ามาก

การแก้ไขที่ดีที่สุดคือ การปรับเปลี่ยนวิธีการนั่งใหม่ บอกเลยสำหรับอ๊อฟมันยากมากกกพอเผลอทีไรอ๊อฟก็จะกลับมานั่งแบบเดิมอีก แต่วันนี้อ๊อฟมีตัวช่วยที่จะทำให้การปรับเปลี่ยนท่านั่งการทำงานของอ๊อฟให้ง่ายขึ้น นั่นก็คือ การเลือกใช้เบาะรองหลังและเบาะรองนั่งของ Bewell เป็นตัวช่วยในการทำงานและการขับรถของอ๊อฟให้ง่ายขึ้น

และวันนี้ที่อ๊อฟจะมารีวิวก็คือ เบาะรองหลังและเบาะรองนั่งเพื่อสุขภาพของ Bewell
บอกเลยว่าตั้งแต่ได้มา มันช่วยปรับท่าทางการนั่งการทำงานและการขับรถของอ๊อฟได้ดีมาก

มาเริ่มที่ตัว เบาะรองหลังทรงสูงเพื่อสุขภาพ / Bewell Health Back เป็นเบาะรองหลังที่ใช้กับเก้าอี้ออฟฟิศ 
บนรถยนต์หรือเก้าอี้อื่นๆ ที่สามารถวางได้ อย่างอ๊อฟจะนั่งทำงานไม่เป็นที่ 
บางครั้งนั่งทำงานตรงโต๊ะกินข้าว ตัวนี้ก็สามารถใช้ได้ค่ะ เป็นเบาะรองหลังทรงสูง
ที่จะรองรับทั้งแผ่นหลังช่วยปรับสรีระให้อยู่ในท่านั่งที่ถูกต้อง อย่างที่บอกว่าปกติคนเราจะชอบเผลอนั่งหลังคอไหล่งุ้มเลยทำให้เกิดอาการปวดคอและบ่า ปวดหลัง การที่มีเบาะรองนั่งเข้ามาช่วยปรับท่านั่งก็จะทำให้เรานั่งได้ถูกต้องซึ่งจะช่วยบรรเทาอาการออฟฟิศซินโดรมอาการปวดหลังที่เกิดจากการนั่งทำงานหรือนั่งขับรถผิดท่าได้นั่นเอง
(ราคา 750 บาท)

รูปทรงของเบาะนั้นถูกออกแบบมาเพื่อรองรับและปรับสรีระของผู้ใช้งานให้ถูกต้อง
ตามหลักการยศาสตร์ เน้นความสำคัญในด้านกายภาพคือ ความคล่องแคล่วสะดวกสบาย
ในการทำงานของร่างกาย

วัสดุของเบาะรองหลังเป็นเมมโมรี่โฟม (memory foam) คุณภาพสูง คืนตัวเร็วกว่า
เมมโมรี่โฟมอื่นถึง 2 เท่า โดยเมมโมรี่โฟมปกติเป็นวัสดุที่หมอนหรือเบาะต่างๆ นิยมใช้อยู่แล้ว ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยกระจายแรงกดทับเวลานั่งนานๆ ได้ดี สำหรับอ๊อฟพอได้ลองใช้เบาะรองหลังครั้งแรกแล้วรู้สึกได้เลยว่า หลังมันตรงขึ้น มันช่วยปรับท่าทางและองศาการนั่งทำงานของอ๊อฟได้ดีขึ้น เบาะนุ่มสบายกระชับรับกับแผ่นหลังได้พอดี ทำให้นั่งทำงาน
ได้นานขึ้น และไม่ค่อยปวดหลังหรือปวดสะบักเวลานั่งเขียนงานนานๆ

ตัวเบาะมาพร้อมปลอกผ้ากันเหลือง ซึ่งเป็นผ้ากำมะหยี่แบบนุ่มๆ หรือที่เรียกว่า Soft Plush ที่สามารถถอดซักได้ ไม่เก็บฝุ่น เวลานั่งก็ไม่ร้อนหลังด้วย ปกติถ้าเรานั่งพิงกับเก้าอี้ธรรมดาเราจะรู้สึกว่าปวดหลังเพราะพนักพิงมันไม่รับกับแผ่นหลัง แต่เบาะรองหลังของ bewell ได้ถูกออกแบบมาให้เข้ากับสรีระของเราได้ค่อนข้างดี เบาะนุ่มนั่งพิงแล้วไม่รู้สึกร้อน
หรือว่าปวดหลังเลย

วิธีใช้งานก็ง่ายมากเลยค่ะ เพราะด้านหลังเค้าจะมียางยืดให้เราสวมกับเก้าอี้ได้เลย

เบาะรองนั่งเพื่อสุขภาพ / Bewell Health Seat เป็นเบาะรองนั่งสำหรับใช้กับเก้าอี้ออฟฟิศ บนรถยนต์หรือเก้าอี้อื่นๆ ที่สามารถวางได้ ผลิตด้วยวัสดุคุณภาพเมมโมรี่โฟม (Memory Foam) ตัวเบาะสามารถคืนรูปกลับมาได้ 100% ถึงแม้จะนั่งติดต่อกันเป็นเวลานานก็ตาม ปกติอ๊อฟเวลาอ๊อฟนั่งเขียนงานจะไม่มีเก้าอี้เป็นประจำ ดังนั้นถ้าต้องนั่งทำงานที่ไหนก็เลือกเก้าอี้ไม่ได้เลย พอเอาเบาะรองนั่งมาใช้บอกเลยว่านั่งสบายขึ้นเยอะมาก
เพราะเบาะถูกออกแบบมาให้หนากำลังดี เบาะนุ่มทำให้นั่งทำงานได้นานและสบายขึ้น
ไม่ปวดก้นกบหรือรู้สึกเมื่อยเลย
(ราคา 690 บาท)

 เบาะรองนั่งถูกออกแบบมาให้มีส่วนโค้งเว้าเพื่อให้เข้ากับสรีระร่างกาย
เหมาะสำหรับผู้ที่นั่งทำงานนานๆ หรือขับรถติดต่อกันหลายชั่วโมงรวมไปถึงผู้ที่นั่งรถเข็น
ด้วยค่ะตัว (เบาะรองนั่งมีการรับประกัน 6 เดือน)

ปลอกผ้าเบาะรองนั่งผลิตมาจาก Soft Plush เหมือนกับตัวเบาะรองหลัง 
คือมีคุณสมบัติไม่เก็บฝุ่น ทำความสะอาดและถอดซักได้ง่ายเหมือนกันค่ะ

ด้านหลังของเบาะเค้าจะมีปุ่มกันลื่นติดมาด้วยค่ะ เพื่อให้แนบติดกับเก้าอี้ได้มากยิ่งขึ้น
เวลาที่เรานั่งทำงานหรือนั่งขับรถ เบาะก็จะไม่ไหลไม่ลื่น

หลังจากที่อ๊อฟได้ใช้ทั้งเบาะรองหลังและเบาะรองนั่งเพื่อของสุขภาพของ Bewell
บอกเลยว่าอาการปวดหลัง ปวดคอและปวดบ่าก็ค่อยๆ ลดลง สามารถนั่งทำงานได้นานขึ้นเพราะเบาะรองหลังเป็นตัวช่วยที่ทำให้เรานั่งทำงานได้ถูกท่า ลดอาการนั่งงอตัว
นั่งหลังค่อมอย่างไม่ตั้งใจ ช่วยลดภาระการทำงานของกล้ามเนื้อคอและหลัง ช่วยแก้ปัญหาพนักพิงเบาะไม่รองรับสรีระของคอและแผ่นหลัง  สาเหตุหลักของการอาการปวดเมื่อย จากการนั่งผิดท่า ส่วนเบาะรองนั่งก็ช่วยลดอาการปวดเมื่อยจากการนั่งทำงานนานๆ ได้ดีมาก นั่งแล้วไม่ปวดก้นเลยพอเรานั่งทำงานหรือนั่งขับรถอยู่ในท่าที่ถูกต้อง
พวกอาการออฟฟิศซินโดรมต่างๆ ก็ค่อยๆ ลดลงค่ะ

สำหรับใครที่ชอบนั่งทำงานหลังค่อม นั่งขับรถหลังงอ นั่งผิดท่าหรือมีอาการออฟฟิศซินโดรมบอกเลยว่า การใช้เบาะรองนั่งและเบาะรองหลังเป็นอะไรที่ดีมาก ช่วยได้เยอะมาก ช่วยปรับท่าทางการนั่งทำงาน การขับรถของเราได้เยอะเลย และการเลือกซื้อเบาะรองนั่งและเบาะรองหลัง อ๊อฟแนะนะเลยควรเลือกซื้อวัสดุที่ยืดหยุ่นทั้งวัสดุภายในและภายนอกเพื่อให้รองรับสรีระของเราได้เต็มที่ และควรถอดซักได้ด้วยอันนี้สำคัญมาก เพราะบ้านเราเป็นเมืองร้อน ควรใช้เบาะรองหลังและเบาะรองนั่งที่มีการระบายอากาศได้ดี ไม่อับชื้น นั่งแล้วไม่ร้อนหลังและทำความสะอาดได้ เพราะเหงื่อไคลที่ติดตัวเราจากการทำงานหรือการทำกิจกรรมต่างๆ จะเป็นที่สะสมของสิ่งสกปรกและเชื้อโรคต่างๆ ดังนั้นอ๊อฟแนะนำว่าให้เลือกใช้เบาะรองหลังและเบาะรองนั่งที่สามารถทำความสะอาดได้จะดีกว่าค่ะ

สำหรับคนที่สนใจผลิตภัณฑ์ของ Bewell สามารถหาซื้อได้ตาม Se-ed Book Center ,Zeenzone และ Loft หรือจะสั่งซื้อทางออนไลน์ก็ได้เหมือนกันค่ะ
คลิก link ที่โลโก้ Bewell ได้เลยค่ะ

https://www.bewellstyle.com/
Line@: @bewell
และพิเศษสำหรับแฟนเพจของอ๊อฟ วันนี้อ๊อฟมีโค้ดส่วนลด 10% bewellxiloveaday ทุกสินค้าใน bewell เมื่อช้อปผ่าน www.bewellstyle.com หรือจะสั่งซื้อผ่าน
facebook : bewell และ Line@ : @bewell แล้วบอกว่ามาจากอ๊อฟ
ก็จะได้ส่วนลดทันที 10% เหมือนกันค่ะ

สวัสดีค่ะ วันนี้อ๊อฟอยากจะบอกว่าตั้งแต่เขียนคอนเท้นท์รีวิว

ด้านความสวยความงามและสุขภาพมา คอนเท้นท์นี้เป็นอะไรที่ตรงกับความชอบ

และความถนัดของอ๊อฟที่สุดแล้ว นั่นก็คือ “ การนอน ” นั่นเอง จะบอกว่าอ๊อฟเป็นคนชอบนอนมาก

เป็นคนที่นอนได้ทุกที่ทุกเวลา คนรอบข้างอ๊อฟจะรู้ดีว่าอ๊อฟเป็นคนที่นอนเยอะมาก

ในรถก็จะพกหมอนพกผ้าห่มติดตัวไปตลอด คือมีหมอนก็พร้อมหลับได้ทุกที่ทุกเวลา

แต่ยิ่งนอนมากเท่าไหร่ก็ไม่สดชื่นเลยค่ะ รู้สึกเพลียตลอดเวลา

วันนี้อ๊อฟเลยแวะมาที่ Index Living Mall สาขาบางนาค่ะ เค้าบอกว่าที่ Perfect Sleep  เนี่ย

เค้าเปิดให้บริการเพื่อการเลือกสรรสร้างห้องนอนและการนอนอย่างครบทุกรูปแบบ

พอเข้ามาข้างในก็จะเห็นสินค้ามากมายที่ทาง Index Living Mall ได้คัดสรรสุดยอดแบรนด์นวัตกรรม

เรื่องการนอนชั้นนำของโลกจากประเทศสหรัฐอเมริกาอย่าง (PureCare)เพียวแคร์  

เข้ามาจำหน่ายรายแรกและรายเดียวในไทย โดยมีสินค้ามากมายหลายแบบ

เช่น เครื่องนอน ผ้าปูเตียง ปลอกหมอน ปลอกผ้านวม

แต่ที่สะดุดตาก็คงจะเป็นพวกหมอนนี่แหละคือ ไม่ได้ซื้อหมอนมานานมากกกก

พอมาเห็นว่าหมอนใบนึงเนี่ย มันมีคุณสมบัติอะไรมากมายขนาดนี้ อ๊อฟนี่ตื่นตาตื่นใจมากเลย

เดี๋ยวตามอ๊อฟไปดูกันค่ะ ว่าหมอนที่อ๊อฟพูดถึงมีอะไรบ้าง

Body Chemistry หมอนหนุนมีทั้งหมด  2 รุ่นด้วยกัน

รุ่น Elegance แกนกลางทำจาก Memory Foam ที่มีคุณสมบัติพิเศษ

ช่วยการกระจายน้ำหนักและลดแรงกดทับของผู้นอน

รุ่น Softcell Select สามารถเพิ่มความสูงได้โดยการใส่ไส้หมอนเพิ่มเข้าไป

มีความนุ่มฟูด้วยขนเป็ดเทียม โดยโครงสร้างแบ่งเป็นช่องๆ

และมีแนวยาวเพื่อรองรับส่วนต้นคอ

ซึ่งจุดเด่นด้านของเส้นใยธรรมชาติ “เซลเลียนท์” (CELLIANT) มีส่วนผสมจากแร่ธาตุธรรมชาติ

มาใช้ในการถักทอ เพื่อมอบสัมผัสที่นุ่มลื่นสบายผิว ให้ความรู้สึกผ่อนคลาย เย็นสบาย

และช่วยคืนพลังขณะหลับ อีกทั้งยังช่วยเพิ่มระดับออกซิเจนในร่างกาย

ช่วยบรรเทาความปวดเมื่อย อาการตึงของกล้ามเนื้อ ทำให้หลับได้สนิทมากยิ่งขึ้น

BODY CHEMISTRY elegant pillow ราคา 1,990 บาท

SUB-O หมอนหนุนมีให้เลือกทั้งหมด 2 รุ่นด้วยกัน

คือ Softcell และ Down Combo

ด้วยเส้นใย Cooling Fiber ของตัวผ้าและเจลจะช่วยปรับอุณหภูมิและระบายความร้อนออกจากร่างกาย

ให้ผิวสัมผัสที่เย็นสบายผ่อนคลายขึ้นเหมาะกับคนที่มีอาการหัวร้อน ปวดไมเกรน

เพราะ FRIO เป็นหมอนที่ให้ผิวสัมผัสที่เย็นทำให้การนอนหลับสบาย หลับลึก

ช่วยผ่อนคลายและระบายความร้อนลดอาการปวดศรีษะ

SUB-O Down combo Pillow ราคา 2,990 บาท

SUB-O Softcell chill Pillow ราคา 2,990 บาท

Tempsync หมอนหนุนมีให้เลือกทั้งหมด 2 รุ่นด้วยกัน

TEMPSYNC Identically Down Medium pillow และ TEMPSYNC Softcell pillow

ความพิเศษของ Softcell มีความนุ่มฟูเป็นพิเศษด้วยขนเป็ด Softcell โดยโครงสร้างแบ่งเป็นช่องๆ

แต่ละช่องจะช่วยรองรับสรีระต้นคอได้ดีกว่า ซึ่งความพิเศษของ TEMPSYNC คือช่วยปรับอุณหภูมิร่างกาย

ให้สมดุลเพื่อให้เซลล์ในร่างกายได้ทำงานอย่างเต็มที่

TEMPSYNC Identically Down Medium pillow ราคา 2,590 บาท

TEMPSYNC Softcell pillow ราคา 3,590 บาท

OMNIGUARD ปลอกกันเปื้อนเป็น Protection คุณภาพสูงและยังคงให้สัมผัสที่นุ่มสบายของการนอน,

กันไรฝุ่นและแบคทีเรีย,กันน้ำได้ ดูแลรักษาได้ง่ายมีทั้งแบบปกคลุม 5 ด้านและ 6 ด้าน

ซึ่งคุณสมบัติพิเศษของผ้าปูที่นอนนอกจากเนื้อผ้ามีความยืดหยุ่นและกระชับรับเหลี่ยมที่นอน

พอดีขอบที่มีความหนา 30 cm. ยังรัดมุมไม่หลุดง่ายสัมผัสได้ถึงความตึงเรียบอีกด้วย

นอกจากผ้าปูที่นอนแล้วก็ยังมีปอกหมอนกันเปื้อน OMNIGUARD

pillow protector ราคาเพียง 490 บาท

นอกจากเค้าจะเค้าจะมีสินค้าให้เลือกซื้อมากมายแล้ว ใครที่มีปัญหาเรื่องนอนแล้วปวดหลัง

หรือนอนแล้วตื่นมาไม่สดชื่น ที่นี่เค้าก็สามารถช่วยแนะนำวิธีการแก้ปัญหาการนอนได้อีกด้วย

เรียกได้ว่าที่นี่เป็น ONE-STOP SERVICE  ที่ช่วยแก้ไขปัญหาการนอนด้วย 3 ขั้นตอนง่ายๆ

ขั้นตอนแรกก็จะทำแบบสอบถามซึ่งจะต้องกรอกข้อมูล เพศ อายุ ส่วนสูง น้ำหนักและไลฟ์สไตล์การนอน

ของเราเบื้องต้นว่าชอบนอนแบบไหนแล้วจะทำการประมวลผล

ซึ่งขั้นตอนนี้ใช้เวลาเพียงแค่ 5 นาทีเท่านั้นเองค่ะ

สนใจทำแบบสอบถามคลิกเลยค่ะ :  

http://bit.ly/2AIeltZ

ซึ่งที่นอนที่เหมาะกับอ๊อฟนั่นก็คือ ” ค่อนข้างนุ่ม  “

ทาง Perfect Sleep เค้าประมวลผลออกมาได้เป๊ะจริงๆ  อ๊อฟเป็นคนเสพย์ติดที่นอนนุ่มๆ แหะๆขั้นตอนต่อมาผู้เชี่ยวชาญทางด้านกายภาพก็จะตรวจโครงสร้างของสรีระโดยการตรวจวัดแนวกระดูกสันหลัง

และขั้นตอนสุดท้ายนั่นก็คือการทำ SLEEPSCANNING ด้วยอุปกรณ์ไฮเทคใหม่ล่าสุด

เพื่อวิเคราะห์หาที่นอนที่เหมาะที่สุด วัดการกดทับทุกจุดของร่างกายที่สัมพันธ์กับท่านอนได้อย่างแม่นยำ

ขั้นตอนนี้ชอบมากกก แค่ล้มตัวลงนอนเท่านั้นเอง เจ้าตัวเซนเซอร์ก็จะทำการตรวจหาแรงกดทับของร่างกาย

บนที่นอนเพราะการเลือกที่นอนผิดจะส่งผลกับสรีระการโค้งงอและการคดของกระดูกสันหลัง

ทำให้นอนหลับไม่สบายและเกิดปัญหาอื่นๆ ต่อไปในอนาคตค่ะขอเปลี่ยนท่าที่ถนัดก่อนเนอะ อ๊อฟเป็นคนชอบนอนตะแคงค่ะ

เดี๋ยวมาดูกันว่าที่นอนที่เหมาะกับการนอนของอ๊อฟและท่าทางการนอนของอ๊อฟ

เนี่ยมันจะสัมพันธ์กับที่นอนที่ทาง PERFECT SLEEP เลือกมามั้ย

และแล้วผลก็แสดงออกมาเป็นภาพสีว่าจุดไหนที่ร่างกายได้รับการกดทับมากที่สุด

จากภาพที่ออกมานี้นำมาประมวลผลเป็นตัวเลขและวิเคราะห์ออกมาได้อย่างแม่นยำ

ของอ๊อฟแทบจะไม่มีส่วนไหนกดทับมากเป็นพิเศษเลย สีที่ออกมาคือฟ้าและเขียว

นั่นหมายถึงว่าเป็นสัญญาณที่ดี มีการกระจายแรงที่เหมาะสม

ไม่มีส่วนใดส่วนนึงมีแรงกดทับมากเกินไป เรียกว่าหลับสบายหายห่วง

สำหรับใครที่มีปัญหานอนแล้วปวดหลัง นอนเท่าไหร่ก็ไม่สดชื่นแบบอ๊อฟ

ทาง PERFECT SLEEP เค้าก็มีบริการวิเคราะห์ปัญหาด้านการนอนโดยมีผู้เชี่ยวชาญด้านกายภาพบำบัด

ที่ผ่านการอบรมมาแล้วคอยให้คำปรึกษาแนะนำ ที่สำคัญไปกว่านั้นคือทุกอย่างที่พูดมาทั้งหมดเนี่ย

ฟรีหมดเลยแถมยังใช้เวลาไม่นานอีกด้วยส่วนที่ต้องจ่ายก็คือการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่นอนดีๆ หมอนดีๆ

ซึ่งทาง Index Living Mall สาขา บางนา และเกษตรนวมินทร์

ที่ Perfect Sleep เค้าก็มีผลิตภัณฑ์คุณภาพให้เลือกซื้อมากมายค่ะ

หรือสามารถสั่งซื้อผลิตภัณฑ์ได้ที่:

http://bit.ly/2AMvW4d

สวัสดีค่ะ อย่างที่รู้กันว่าตอนนี้สภาพอากาศของบ้านเราแย่มาก อากาศถูกปกคลุมไปด้วยฝุ่นละออง PM 2.5
ไปหมด ยิ่งแถวร่มเกล้า ลาดกระบัง สุวรรณภูมิ (แถวบ้านอ๊อฟเอง) นี่ไม่ต้องพูดถึงถูกปกคลุมไปด้วยหมอกจางๆ
ถ้าไม่ได้ติดตามข่าว บางคนอาจจะไม่รู้ว่าหมอกจางๆ ที่เรามองเห็นนั้น จริงๆ แล้วไม่ใช่หมอก
แต่มันคือฝุ่นควันที่มีมากจนเกินค่ามาตรฐานตามที่กรมควบคุมมลพิษได้ออกมาบอกไว้
หมอกหนาๆ ทึบๆ ที่เรามองเห็นนั้นเกิดจากค่าฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ที่เกินมาตรฐานนั่นเอง
ตอนแรกอ๊อฟก็คิดว่าเป็นเรื่องไกลตัวไม่ได้สนใจอะไร แต่พอมารู้ว่าฝุ่นละออง PM 2.5 สามารถแพร่กระจาย
เข้าสู่ระบบทางเดินหายใจ กระแสเลือด สามารถแทรกซึมเข้าสู่กระบวนการทำงานของอวัยวะต่างๆ
ภายในร่างกายและยังเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคเรื้อรังและมะเร็งได้อีกด้วย จึงต้องรีบหาทางเซฟตัวเองก่อน
ดังนั้นวันนี้อ๊อฟเลยจะมารีวิวหน้ากากกันฝุ่นละออง N95 ของแบรนด์ 3M ทั้ง 2 แบบ
ทั้งแบบมีวาล์วและไม่มีวาล์ว ในแง่ของการใช้งานว่าเป็นอย่างไร แตกต่างกันตรงไหนบ้าง
ปล. รีวิวนี้ไม่มีสปอนเซอร์นะคะ ซื้อเองใช้เอง บางคนอาจสงสัยว่าทำไมถึงเลือกใช้ยี่ห้อ 3M
ส่วนตัวอ๊อฟเลือกเพราะมั่นใจในคุณภาพของผลิตภัณฑ์ 3M หลายอย่างๆ จากที่เคยใช้มาค่ะ
เริ่มกันที่แบบแรก 3เอ็ม 9105 vflex หน้ากากป้องกันฝุ่นละอองมาตรฐาน N95
เป็นหน้ากากกรองอากาศ (Respirators) สำหรับป้องกันฝุ่นละออง PM 2.5 และ PM 10
มี 2 ขนาดให้เลือกคือ ขนาดธรรมดา (รุ่น 9105) และขนาดเล็ก (รุ่น 9105S) ที่อ๊อฟเลือกมาคือขนาดธรรมดานะคะ
บางคนอาจจะงงว่าใส่ยังไงเหมือนกับหน้ากากอนามัยทั่วไปมั้ย ยอมรับเลยว่างง ฮ่าๆๆๆ
เพราะไม่เคยใส่หน้ากากแบบนี้เลยแต่ด้านหลังซองเค้ามีวิธีใช้บอกอย่างละเอียดอยู่ค่ะ ใส่ตามได้ไม่ยากเลย
ซึ่งรุ่นนี้สามารถพับเก็บได้ จะเรียกว่าเป็นข้อดีก็ได้อะเพราะพกพาได้สะดวกสบาย
แนะนำว่าพับแล้วเก็บไว้ใส่ซองซิปล็อคแล้วใส่กระเป๋าดีกว่าเพื่อป้องกันฝุ่นในกระเป๋าด้วยค่ะ
ราคา 35 บาท (บรรจุ 1 ชิ้น)
หน้ากากมาพร้อมกับแถบโลหะที่สามารถปรับให้เข้ากับรูปหน้าได้ ด้านหลังเป็นยางที่คล้องรัดศีรษะ
2 สิ่งที่ผู้หญิงอย่างเราต้องระวังเป็นพิเศษ คือ
1. เครื่องสำอางที่จะเปรอะด้านในมาส์กเวลาที่เราสวมใส่ ระวังยังไงก็ยังเปื้อนคราบรองพื้นอยู่ดี T.T
2. ผมเผ้าอาจกระเจิงได้ถ้าไม่จัดทรงผมให้ดี อ๊อฟเสียเวลาในการใส่นานมาก T.T
หน้ากากรุ่นนี้มีประสิทธิภาพการกรองฝุ่นละอองที่มีขนาดเล็ก 0.3 ไมครอนได้ไม่ต่ำกว่า 95%
ขนาดค่อนข้างพอดีกับรูปหน้าใส่สบายไม่บีบรัดหน้า แต่ส่วนตัวอ๊อฟว่าหายใจค่อนข้างลำบาก
คนไม่เคยใส่ยิ่งไม่ชินแปปเดียวก็ต้องถอดออกแล้ว ยิ่งเป็นคนที่ชอบออกกำลังกายหรือทำกิจกรรมกลางแจ้ง
และคนที่ชอบปั่นจักรยานหรือขี่มอเตอร์ไซค์ตามท้องถนนไม่ต้องพูดถึง หายใจลำบากแน่นอน
หน้ากากแบบนี้ส่วนตัวอ๊อฟว่าไม่ควรซักแล้วใช้ซ้ำนะคะเพราะอาจทำให้ประสิทธิภาพในการจับฝุ่นละอองลดลง
ถ้ารู้สึกว่าเริ่มดำหรือสกปรก หน้ากากผิดรูปควรเปลี่ยนอันใหม่จะดีกว่าค่ะ
แบบที่สองคือ 3เอ็ม N95 หน้ากากกรองอนุภาคพร้อมวาล์วระบายอากาศ (8511)
พิเศษด้วยวาล์วระบายอากาศ Cool Flow™
ประสิทธิภาพการกรองไม่น้อยกว่า 95% สามารถกรองฝุ่นละออง
และฟูมโลหะต่างๆ ที่ 0.3 ไมครอน (ยกเว้นละอองของน้ำมัน)
ราคา 149 บาท (บรรจุ 1 ชิ้น)
ข้อเสีย คือ รุ่นนี้ไม่สามารถพับเก็บได้ ตัวหน้ากากเป็นทรงถ้วย
มีแถบอลูมิเนียมอยู่ด้านบนและมีแถบโฟมบุอยู่ด้านในหลังแถบอลูมิเนียมเพื่อเพิ่มความกระชับให้รับกับรูปหน้า
ข้อดี คือ รุ่นนี้มีวาล์วระบายอากาศ ราคาสูงหน่อยแต่หายใจคล่องกว่าตัวที่ไม่มีวาล์วมาก
ข้อเสียอีกอย่างที่อ๊อฟพบเจอมาตลอดการใช้งานคือ แถบเหล็กข้างหลังหน้ากาก
ที่เย็บยึดตัวสายไว้มันกดทับข้างๆ ใบหน้าทำให้รู้สึกเจ็บ T.T
พอใส่แล้วจะบอกว่ารุ่นนี้ใส่แล้วรัดหน้าแน่นกว่ารุ่นที่แล้วอีก ใส่แล้วรู้สึกอึดอัด คับหน้า
แต่หายใจสบายกว่าตัวที่แล้วมากกกกกน่าจะเป็นเพราะตัวนี้มีวาล์วที่ช่วยระบายความร้อน
และความชื้นที่สะสมภายในหน้ากาก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าหายใจสบายกว่าตอนที่ไม่ใส่หน้ากากนะ
สายรัดเป็นแบบคล้องศีรษะกระชับและแน่นหนาดี
หน้ากากแบบนี้ไม่ควรซักเหมือนกันนะคะ ถ้ารู้สึกว่าดำหรือสกปรกควรทิ้งแล้วเปลี่ยนใหม่ค่ะ
สุดท้ายนี้ก็อยากจะบอกว่าปัญหามลภาวะจาก PM 2.5 มันไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไปแล้ว
นอกจากจะหลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้บริเวณริมถนนใหญ่ ใกล้ควันรถยนต์หรือบริเวณที่มีการก่อสร้าง
ควรเลือกหน้ากากอนามัยที่ป้องกันฝุ่น N95 ได้และต้องมีความละเอียดของเส้นใยที่สูงพอที่จะกรองฝุ่นเล็กๆ
ขนาด 2.5 ไมครอนได้ อย่างเช่นหน้ากาก N95 ที่มีขายกันหลากหลายยี่ห้อ ซึ่งจะสามารถกรองอนุภาค
ขนาด 0.3 ไมครอนได้ถึง 95% ส่วนพวกหน้ากากอนามัยธรรมดาที่ขายกันทั่วไปตามท้องตลาดนั้น
นอกจากจะกรองไม่ละเอียดพอแล้ว ยังไม่แนบชิดกับใบหน้าจึงทำให้อากาศผ่านเข้าออกได้ง่ายอีกด้วย
สรุปคือ ถ้าเป็นหน้ากาก N95 มันจะครอบตรงปากกับจมูกของเราแบบมิดชิดเรียกได้ว่าเวลาหายใจ
ผ่านหน้ากากนี้จะแบบอึดอัดแทบหายใจไม่ออก หรือไม่มีอากาศจากภายนอกเล็ดรอดผ่านขอบหน้ากากเข้ามา
ได้เลยจะมีแค่ลมหายใจเข้าออกจะผ่านหน้ากากเท่านั้น ที่สำคัญถ้าใช้หน้ากาก N95 ต้องใส่ให้ถูกวิธีด้วยนะคะ
ถ้าใส่ไม่ถูกหรือไม่มิดชิดก็จะทำให้ไม่สามารถป้องกันจาก PM 2.5 ได้อย่างเต็มที่
สวัสดีค่ะ กลับมาพบกับอ๊อฟอีกแล้วแน่นอนว่าต้องมีอะไรใหม่ๆ เด็ดๆ เจ๋งๆ
มาแนะนำกันอีกเช่นเคย วันนี้เรียกได้ว่าเปิดบ้านรีวิวกันเลย
พูดถึงบ้านช่วงเช้าถึงเย็นเนี่ยอ๊อฟจะชอบเปิดประตูและหน้าต่างทิ้งไว้
เพื่อให้ลมพัดผ่านเข้ามา แน่นอนว่าลมเย็นสบายทั้งวัน แต่ก็หอบฝุ่น สิ่งสกปรกและเชื้อโรค
เข้ามาในบ้านด้วย ไม่ว่าจะเป็นชั้นวางทีวี เครื่องเสียงลำโพงล้วนแล้วแต่มีฝุ่นเกาะทั้งนั้น
ฝุ่นในที่นี้คือที่เราสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าและเอามือลูบสัมผัสได้
แต่ยังมีเชื้อโรคและสิ่งสกปรกอีกมากมายที่เราไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า
ไม่ว่าจะเป็นขนสัตว์ ฮ่า ฮ่า ฮ่า เป็นปัญหาโลกแตกของคนที่เลี้ยงสัตว์เลี้ยง
ไม่ว่าจะเป็นน้องหมาและน้องแมว ต่างก็ประสบปัญหาเกี่ยวกับขนของเจ้าตัวยุ่งทั้งนั้น
และแน่นอนว่าอ๊อฟก็เช่นกัน ปัญหาคัดจมูกฟึดฟัดๆ ที่เกิดจากภูมิแพ้อากาศบวกกับขนแมว
เข้าไปอีก ทุกครั้งที่ตื่นนอนมาต้องคัดจมูกทุกที ดังนั้นวันนี้อ๊อฟเลยมีตัวช่วยที่ช่วย
ตอบโจทย์ปัญหาเหล่านี้ นอกจากจะให้ลมที่เย็นสบายแล้วยังทำให้สุขภาพของเราดีขึ้นอีกด้วย
และที่เห็นดีไซน์เก๋ๆ ล้ำๆ อยู่ตรงหน้าอ๊อฟก็คือ Dyson Pure Cool
พัดลมฟอกอากาศได้ด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง “ รับรู้และดักจับกระจายอากาศ “
หลังจากนั้นจึงกระจายอากาศบริสุทธิ์ที่ผ่านการกรองแล้วให้เย็นไปทั่วทั้งห้อง
ถ้าพูดถึงเรื่องดีไซน์ต้องให้ Dyson เค้านะ ดีไซน์ทรงสูงแบบทาวเวอร์
ดูทันสมัยและประหยัดพื้นที่ในการวาง ไม่เกะกะ
และสามารถยกไปใช้งานในห้องต่างๆได้อย่างสะดวกสบาย
และด้วยเทคโนโลยีของ Dyson ที่ช่วยกระจายอากาศไปทั่วห้อง
ไม่ว่าห้องจะกว้างขนาดไหน อยู่คอนโด หรือ บ้าน
ก็ตอบโจทย์ผู้ใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
Dyson Pure Cool เค้าใช้เทคโนโลยี Air Multiplier
ช่วยปล่อยแรงลมอันนุ่มนวลและทรงพลังได้ถึง 290 ลิตรต่อวินาที
และผสานเข้ากับการหมุนส่ายถึง 350 องศา
เพื่อปล่อยและไหลเวียนอากาศบริสุทธิ์ที่ผ่านการกรองแล้วไปทั่วทุกมุมห้อง
ตัวฟิลเตอร์ในพัดลมฟอกอากาศได้ถูกพัฒนาขึ้นมาใหม่
เพื่อดักจับทั้งฝุ่นละอองและแก๊ส และเพิ่มประสิทธิภาพในการดูดซับ
แก๊สกลิ่นต่างๆควันพิษและสาร VOCs
พัดลมฟอกอากาศ Dyson Pure Cool สามารถรายงานคุณภาพอากาศบนหน้าจอ LCD
แบบเรียลไทม์เรียกได้ว่าตรวจจับและรายงานให้เรารู้ตลอดเวลาถึงสารมลพิษเป็นอันตราย
ที่อยู่ในอากาศ ระบบการกรองชั้นสูงของเครื่องช่วยให้สามารถดักจับได้ถึง 99.95%
ของอนุภาคสารมลพิษขนาดเล็กถึง 0.1 ไมครอน รายงานและเก็บสถิติ
แน่นหนาขนาดนี้ไม่เชื่อได้ยังไงเนอะ
มาพร้อมกับรีโมทขนาดกะทัดรัดที่ช่วยควบคุมการทำงาน ซึ่งใช้งานง่ายไม่ซับซ้อนเลยค่ะ
ปุ่มเปิด/ปิดการทำงานของเครื่อง
ปุ่มตัว i หน้าจอจะแสดงข้อมูลคุณภาพอากาศล่าสุดภายในห้องและยังสามารถ
ตรวจสอบอายุการใช้งานและการดูแลรักษาตัวกรองผ่านทางหน้าจอหรือทางแอพ
สามารถปรับความแรงของลมได้ตั้งแต่ระดับ 1-10 ถ้าระดับ 10 เสียงจะค่อนข้างดังค่ะ
โหมด Auto ถ้าตรวจพบว่าคุณภาพอากาศต่ำกว่ามาตรฐานก็จะฟอกอากาศให้อัตโนมัติ
โหมดสวิง สำหรับปรับมุมการส่ายของพัดลมฟอกอากาศได้ตั้งแต่ 45 ถึง 350 องศา
โหมดกลางคืนตั้งเวลาการนอนและตั้งค่าเสียงที่เบาที่สุดพร้อมหรี่ไฟ LCD ลง
นอกจากนั้นยังตั้งค่าเปิดเครื่องเวลานอนเพื่อปิดพัดลมฟอกอากาศเป็นระยะเวลา
นานเท่าไหร่ก็ได้ตั้งแต่ 1 – 8 ชั่วโมง
หมดปัญหาเรื่องรีโมทหายเพราะทาง Dyson เค้าทำที่เก็บรีโมทออกมาเพื่อสาวโก๊ะๆ แบบเรา
ที่ใช้รีโมททีหายที ไม่รู้ว่าใช้เสร็จแล้วไปวางไว้ที่ไหน แต่กับเจ้า Dyson ไม่ต้องเป็นห่วงไป
เพียงแค่หันเจ้ารีโมทเข้าด้านในแล้วแปะกับตัวเครื่องพัดลมที่โค้งๆ
ตัวแม่เหล็กก็จะดูดรีโมทให้ยึดติดกับตัวเครื่องค่ะ
นอกจากจะควบคุมการทำงานผ่านรีโมทแล้ว ด้วยความทันสมัยและเทคโนโลยีล้ำๆ ของทาง
Dyson สามารถควบคุมและตรวจสอบคุณภาพอากาศในบ้านได้จากทุกที่ทุกเวลา
โดยผ่านแอพ Dyson Link ซึ่งมีทั้งระบบปฏิบัติการ Android และ ios
เชื่อมต่อผ่านทาง wifi เพียงเท่านี้เราก็สามารถรู้ถึงอุณหภูมิและความชื้นที่อยู่ภายใน
บ้านและเปรียบเทียบกับอากาศที่อยู่ภายนอกบ้าน
หลักๆ อ๊อฟชอบความสะดวกสบายที่ไม่ต้องควานหารีโมทมากกว่า
เพราะเราใช้โทรศัพท์แทบจะตลอดเวลา สามารถหยิบขึ้นมาดูเมื่อไหร่ก็ได้
และยังปรับอุณหภูมิหรือตั้งเวลาเปิดปิดก็ทำได้ง่ายๆ ผ่านมือถือเลย
ขณะที่อ๊อฟกำลังเปิดเจ้าเครื่องนี้อยู่กลิ่นผัดกะเพราของแม่ก็ลอยออกมาจากครัวแต่ไกล
ทำให้อากาศภายในบ้านแย่ถึงกับขึ้น very poor เลย แสดงว่าไม่โอเคมากๆ
เมื่ออากาศแย่เราก็สามารถสั่งงานให้เครื่องฟอกอากาศ
อัตโนมัติได้ทันที รอไม่นานอากาศก็กลับมาดีและมีคุณภาพอีกครั้ง
และด้วยการออกแบบที่ไร้ใบพัด บ้านไหนที่มีเด็กหรือสัตว์เลี้ยงหมดห่วงได้เลย
ไม่เป็นอันตรายต่อคนในบ้านแน่นอน
มาถึงวิธีการดูแลรักษา ถ้าเป็นตัวเครื่องภายนอก
เพียงแค่ใช้ผ้าสะอาดเช็ดทำความสะอาดฝุ่นรอบตัวเครื่องง่ายๆ ก็เป็นอันเรียบร้อย
ไม่ต้องถอดออกมาล้างให้ยุ่งยากเลยค่ะ
และการเปลี่ยนตัวกรองใหม่ก็ง่ายมากผู้หญิงอย่างเราก็ทำได้เพียงแค่ถอดตัวกรองเก่าออกมา
แล้วเปลี่ยนตัวใหม่เข้าไปแทนที่ก็เป็นอันเรียบร้อย
ซึ่งระยะเวลาการใช้งานของตัวกรองก็มีระยะเวลาประมาณ 1 ปีค่ะ
และทั้งหมดทั้งมวลนี้ก็อยากจะบอกว่าเจ้าเครื่อง Dyson Pure Cool
ไม่ว่าจะแพ้อากาศ แพ้เกสรดอกไม้ แพ้ฝุ่นอะไรก็แล้วแต่ หรือมีปัญหาเกี่ยวกับทางเดินหายใจ
รู้สึกฟึดฟัดตอนตื่นนอน ตาบวม คัดจมูกน้ำมูกไหล
ก็ถือว่าเป็นการป้องกันหรือแก้ปัญหาทางต้นเหตุได้ดีอีกวิธีหนึ่ง
นอกจากนั้นยังเหมาะกับบ้านที่มีเด็กโดยเฉพาะเด็กแรกเกิดที่ภูมิคุ้มกันยังไม่แข็งแรง
หรือเด็กวัยกำลังซนชอบเอานิ้วแหย่พัดลม เจ้าเครื่องนี้ไม่มีใบพัดไม่อันตรายแน่นอน
และยังเหมาะกับคุณพ่อคุณแม่หรือผู้สูงอายุภายในบ้านเพราะภูมิคุ้มกันของร่างกายเริ่มอ่อนแอ
อาจทำให้ไม่สบายได้ง่าย การมีเครื่องฟอกอากาศเครื่องนี้ไว้ในบ้านก็ถือเป็นการ
ช่วยดูแลสุขภาพของคนที่เรารักได้อีกด้วยค่ะ
สำหรับคนที่สนใจเครื่องฟอกอากาศ Dyson Pure Cool
สามารถหาซื้อได้ที่ร้านเครื่องใช้ไฟฟ้าและห้างสรรพสินค้าชั้นนำ
โดยแบบตั้งโต๊ะ (DP04) ราคา 19,900 บาทและแบบตั้งพื้น (TP04) ราคา 28,900 บาท
อากาศดีๆ แบบนี้อ๊อฟต้องขอตัวไปงีบก่อนน้าาาาา

สวัสดีค่ะ วันนี้อ๊อฟจะมารีวิวการทำ Fake Tan ง่ายๆ ด้วยตัวเอง ต้องบอกก่อนว่าจริงๆ
แล้วอ๊อฟเป็นคนผิวสองสีแต่ไม่ถึงกับคล้ำ เวลาถ่ายรูปออกมาผิวจะติดขาวๆ เหลืองๆ
ทำยังไงก็ยังดูไม่คมเข้ม สีน้ำตาลสวยๆ กับเค้าสักที
(สีผิวปกติ)
ช่วงที่โดนแดดเยอะหน่อยก็จะเข้มประมาณนี้ไม่ได้แทนเข้มเหมือนสาวเมืองนอกใน IG
ที่เวลาใส่ชุดว่ายน้ำถ่ายรูปออกมาจะแทนสวยมากกกกกก

อ๊อฟเลยตัดสินใจทำผิวแทนดูสักครั้ง แบบไม่ต้องไปนอนอาบแดด เพราะถ้าให้ไปนอนอาบแดดคงไม่ไหวจริงๆ
เลยเลือกใช้โฟมเปลี่ยนสีผิวเนื้อมูสของ Le Tan fast tan (Deep Bronze) Fake Tan แบรนด์ดังของออสเตรเลีย
ที่สาวๆ สายฝ. นิยมใช้กันมาก เป็นเฟคแทนแบบเนื้อมูสที่ราคาไม่สูงมาก อ๊อฟซื้อมาในไอจีประมาณ 7- 800 บาท
สีเข้มระดับนึงเลย ขนาดทำแค่รอบเดียว ข้อดีของตัวนี้หลังจากที่อ๊อฟได้ใช้ คือ เป็นเนื้อมูส เกลี่ยง่าย
มีกลิ่นเหมือนมะพร้าว (แต่แฟนอ๊อฟบอกว่าเหม็นเวียนหัว) โทนสีก็จะออกน้ำตาลแดงๆ
ซึ่งอ๊อฟว่ากำลังสวย ตัวนี้จะอยู่ได้ประมาณ 1 – 2 อาทิตย์ แล้วจะค่อยๆ หลุดลอกออกไปค่ะ
เวลาหลุดออกก็กระดำกระด่าง ดูน่าเกลียดเหมือนกัน ยิ่งผิวแห้งนะ หลุดเป็นเกล็ดๆ เลย
(หลังทำ Fake Tan)
วิธีการทำเฟคแทนด้วยตัวเองก็ไม่ยากค่ะ อ๊อฟเขียนขั้นตอนการทำมาเป็นข้อๆ ให้อ่านแล้ว
ขั้นตอนที่ 1. โกนขนบริเวณที่ต้องการทำผิวแทนเพื่อที่เวลาทำผิวจะได้ออกมาเนียนเสมอกัน
แต่ถ้าใครไม่ได้มีขนหนาๆ ดกดำหรือมีแค่ขนอ่อนๆ ก็ข้ามขั้นตอนนี้ไปได้เลยจ้า

ขั้นตอนที่ 2 สครับหรือขัดผิวก่อนที่จะทำ ขจัดพวกเซลล์ผิวที่ตายแล้วหรือเสื่อมสภาพให้หลุดออกไป
โดยเฉพาะจุดหยาบกร้านต่างๆ เช่น ข้อศอก หัวเข่า ตาตุ่ม และเท้า เพราะการสครับผิวจะทำให้ผิวเรียนเนียน
แทนเสมอกัน ส่วนตัวอ๊อฟชอบใช้กากกาแฟในการสครับผิว แอบไปเอากากกาแฟจากเมล็ดกาแฟสด
ที่แฟนบดด้วยเครื่องชงกาแฟมาขัดผิว ผสมกับขมิ้นขัดกับใยบวบ ขัดออกมาผิวเนียนผ่องเชียว
แต่ถ้าใครไม่มีกากกาแฟก็ใช้สครับที่เป็นกระปุกสำเร็จรูปตามท้องตลาดได้เหมือนกันค่ะ

ขั้นตอนที่ 3 ใช้ถุงมือทำผิวแทน ข้อนี้สำคัญมากกกกก ไม่อย่างนั้นฝ่ามือของเราจะเปลี่ยนเป็น “สีส้ม” ได้
ซึ่งมันตลกมาก มันส้มแบบส้มเลย เดี่ยวเค้าจะรู้ว่าผิวเราไม่ได้แทนแบบธรรมชาติ ฮ่า ฮ่า ฮ่า
ขั้นตอนที่ 4 ลงสีแทนที่ขาก่อนเป็นอันดับแรก เริ่มจากข้อเท้าขึ้นไปก่อน แตะบริเวณน่อง
โดยเริ่มจากบีบเนื้อมูสน้อยๆ ก่อน แล้วค่อยๆ ทาเป็นวงกลม ไล่ขึ้นไป หลังจากนั้นก็ตามลำตัว แผ่นหลัง
หน้าอก แขน ลำคอ ถ้ามีคนทาให้จะดีมากๆๆ เพราะมีบางที่ที่เราทาไม่ถึง อย่างเช่น แผ่นหลัง เป็นต้น
ข้อควรระวัง ควรเว้นพวกข้อเท้า ข้อศอก ข้อมือ และข้อต่อของนิ้วไว้ บริเวณนี้เราจะทาแค่นิดเดียว
เอาแค่เนื้อมูสที่ติดมากับถุงมือหลังจากทาตัวเสร็จ ป้ายเบาๆ เพราะบริเวณนั้น ผิวจะแห้งเป็นพิเศษ
จะทำให้ผิวสีแทนติดได้ดีขึ้น ดังนั้นทาแค่จางๆ บางๆ เบาๆ ก็พอคงไม่ดีแน่ถ้าข้อศอก ข้อเท้า ตาตุ่มออกมาดำปี๋
(หลังทำ Fake Tan)
ขั้นตอนที่ 5 ลงสีแทนที่ใบหน้าและลำคอด้วย ขั้นตอนนี้อ๊อฟจะลงแค่บางๆ เท่านั้นค่ะ
เพราะใบหน้าคล้ำง่ายอยู่แล้ว ลูบๆ บางๆ ทั่วใบหน้าและลำคอ อย่าลืมทาที่บริเวณหลังคอและใบหูด้วยนะคะ
ถ้าใครกลัวหน้าจะดำไป เลือกใช้รองพื้นที่มีสีเข้มแทนก็ได้ค่ะ
เคล็ดลับของอ๊อฟคือ อ๊อฟเลือกทำก่อนนอนค่ะ เปิดแอร์ให้เย็นฉ่ำ เพราะการทำผิวแทนนั้นควรทำในขณะที่ตัวแห้ง
ไม่ควรมีเหงื่อ เดี๋ยวผิวจะกระดำกระด่าง เดินแก้ผ้าโป๊รอบห้องไปก่อน 1 ชม. หลังจากนั้นก็ใส่ชุดนอนสบายๆ
แล้วนอนได้เลย ตื่นมาก็จะได้ผิวสีแทนสวยสมใจ ไม่เลอะเทอะติดเสื้อผ้าด้วย
ตื่นขึ้นมาก็อาบน้ำปกติแล้วทาโลชั่นบำรุงผิว อ๊อฟเป็นคนผิวแห้งเลยเลือกใช้โลชั่นของเจอร์เกนส์
ชอบสูตรนี้มากเพราะมีกลิ่นหอมมะพร้าว บำรุงผิวให้ทั่ว หลังจากนั้นทาครีมกันแดด
แล้วเตรียมเสื้อผ้าออกไปเฉิดฉายได้เลย

(หลังทำ Fake Tan)
พอผิวแทนแล้ว ถ่ายรูปออกมาก็สวยสมใจ พวกไลน์กล้ามเนื้อที่เราออกกำลังกายมาก็ดูชัดขึ้นกว่าเก่าด้วย

(หลังทำ Fake Tan)
ลองแต่งหน้าเป็นสายฝ. ถ่ายรูปออกมาก็ขึ้นกล้องสมใจ ส่วนตัวอ๊อฟจะทำเฉพาะเวลาไปเที่ยวทะเลเท่านั้นค่ะ
พอกลับมากรุงเทพฯ ก็ปล่อยผิวเป็นปกติ สำหรับรีวิวหน้าจะเป็นอะไร ไอเท็มไหนดี ไหนเด็ด
อย่าลืมติดตามกันด้วยน้าาา

 

 สวัสดีค่ะ วันนี้อ๊อฟจะมารีวิวประสบการณ์เลเซอร์ขนน้องสาวแบบ Whole Bikini เล่าแบบหมดเปลือก
ที่ไปทำมาที่ Apex Profound Beauty หลายคนสงสัยว่าทำไมอ๊อฟต้องแนะนำให้คุณแม่ พี่สาวแฟนหรือเพื่อน
แม้กระทั่งแฟนเพจ หรือคนรู้จักให้มาทำเลเซอร์ที่นี่ ย้อนกลับไปเมื่อสามสี่ปีก่อน ตอนนั้นอ๊อฟเริ่มหาข้อมูล
รีวิวจากอินเตอร์เน็ตเกี่ยวกับการกำจัดขนรักแร้ด้วยเลเซอร์ เนื่องจากสมัยก่อนอ๊อฟใช้แหนบถอนขนรักแร้
ถอนจนตาแทบเหล่ หันไปถอนจนปวดคอ ขนรักแร้ของอ๊อฟ รูนึงนี่งอกมา 3-4 เส้นได้ แถมบางเส้นเป็นขนคุด
ไม่งอกออกมา อ๊อฟก็ไปเอาเข็มมาสะกิดให้ขนมันโผล่แล้วจึงค่อยถอน ทำแบบนี้แทบวันเว้นวันเพราะขนรักแร้
มันขึ้นเร็วมาก ถอนจนรักแร้ช้ำมีสีม่วงคล้ำและช้ำไปหมด พอเห็นสภาพรักแร้ตัวเองก็คิดได้ว่าถ้ายังถอนแบบนี้
ต่อไปคงไม่มีโอกาสได้ใส่สายเดี่ยว เกาะอกหรือเสื้อแขนกุดเหมือนกับคนอื่นแน่ๆ
จึงตัดสินใจเข้ามารับบริการกับทางเอเปกซ์เพราะเห็นโฆษณาในเฟสบุ๊ค รู้สึกตอนนั้นทางเอเปกซ์เค้าจะมี
โปรโมชั่นเลเซอร์ขนรักแร้ 8 ครั้ง ราคาประมาณ 9,000 บาท อ๊อฟเลยตัดสินใจรูดบัตรเครดิตครั้งแรก
ในการเข้ารับบริการพวกคลีนิคเสริมความงาม เป็นการรูดที่มือไม้สั่นมาก สมัยก่อนเงินหมื่นสำหรับอ๊อฟ
มันเยอะมาก ดีนะตอนนั้นมีโปรโมชั่นที่ผ่อนได้ 10 เดือน ทำมาจนครบคอร์สขนรักแร้อ๊อฟไม่ขึ้นอีกเลย
จนมาถึงทุกวันนี้ขึ้นเต็มที่ก็แค่ขนบางๆ ไม่เกินเส้นสองเส้น เลยประทับใจและใช้บริการมาเรื่อยๆ
ไม่ว่าจะหนวด ขนแขน ขนขาหรือขนที่บริเวณใบหน้า จนทางเอเปกซ์เค้าชวนมาทำเลเซอร์ขน
น้องสาวนี่แหละ เพราะเป็นส่วนเดียวที่มีขนเหลืออยู่
คือ ก่อนตัดสินใจจะเลเซอร์ขนน้องสาวก็คิดอยู่นานว่าจะทำไปทำไม มันจำเป็นขนาดนั้นเลยหรอ
แต่พออ่านรีวิวคนโน้นคนนี้บอกว่าทำแล้วดี ยิ่งช่วงมีประจำเดือน ผู้หญิงเราจะรู้สึกว่าน้องสาวไม่สะอาด
มีกลิ่นไม่พึงประสงค์รู้สึกเปียกอับชื้นอยู่ตลอดเวลา ก็เลยตัดสินใจ เอาวะ เป็นไงเป็นกัน ไหนๆ ร่างกาย
ก็แทบจะไร้ขนอยู่แล้ว ตรงนั้นจะเก็บไว้ทำไม ไม่ต้องมีก็ได้เนอะ
อ๊อฟทำที่ APEX สาขารามอินทรา อยู่ใกล้ๆ พรอมมานาด ซึ่งเดินทางมาจากบ้านอ๊อฟไม่ไกลเลย
สะดวกมากใช้เวลาประมาณ 20 นาทีก็ถึง แถมไม่ได้อยู่บนห้าง ไม่ต้องวนหาที่จอดรถ ไม่วุ่นวายดี
ถ้าจะกำจัดขนอ๊อฟแนะนำเลยต้อง YAG LASER เท่านั้น ใครทำเลเซอร์ที่อื่นมาไม่เห็นผล อยากให้มาลองที่นี่
ตอนแรกจ่ายไปก็คิดว่าแพงจะคุ้มกับเงินที่เสียไปหรือเปล่า พอจบคอร์สถึงเข้าใจว่า
เออ…มันคุ้มจริงๆ เพราะขนแทบไม่ขึ้นอีกเลยตอนนี้ก็สามสี่ปีแล้ว ขนขึ้นใหม่ก็บางและน้อยมากกกกก
แต่ของคุณแม่แฟนอ๊อฟขนดกมาก มาก มากและมาก เคยเห็นรักแร้แล้วตกใจพาแกไปทำ
ยิงจนใกล้ครบคอร์สแล้วก็ยังไม่หมดเกลี้ยงเหมือนอ๊อฟ แต่น้อยและบางลงกว่าเดิม
ซึ่งต้องทำต่อไปอีกเกิน 8 ครั้ง กรณีนี้อ๊อฟว่าขึ้นอยู่กับเส้นขนของแต่ละบุคคลด้วยนะคะ

เลเซอร์กำจัดขน (Laser Hair Removal) จะส่งพลังงานความร้อนผ่านลำแสงไปที่เส้นขน โดยรากขนระยะ
ที่โตเต็มที่ จะมีเซลล์เม็ดสีซึ่งสามารถดูดซับพลังงานความร้อนจากเลเซอร์ได้ เมื่อเซลล์รากขนดูดซับความร้อน
ในระดับหนึ่ง รากขนจะฝ่อตัวลง และหยุดการเจริญเติบโต ในการยิงแต่ละครั้งจะมีการปรับพลังงานให้เหมาะสม
ตามแต่ละสีผิวซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้การกำจัดขนด้วยเลเซอร์มีประสิทธิภาพสูงสุด
ซึ่งเจ้าเลเซอร์ YAG เนี่ยจะจับเม็ดสีเข้มได้ดีมากYAG Laser เป็นเลเซอร์ที่มีสามารถทำลายรากขนได้ดีและมี
ประสิทธิภาพเหมาะสำหรับคนทุกสีผิว โดยไม่ทำลายผิวหนังบริเวณข้างเคียงระหว่างการยิง
เรียกได้ว่ารอยไหม้ รอยเบิร์นระหว่างการยิงแทบไม่มีเลย

วิชาการมาเยอะ คราวนี้มาฟังประสบการณ์เน้นๆ กันดีกว่าเนอะ ตอนไปทำเนี่ยเราไม่ต้องไปยุ่งอะไรกับขนเลย
ไม่ต้องอายว่าขนจะดกดำ ยุ่งฟูหรือรกรุงรัง ปล่อยเอาไว้แบบนั้นแหละ ไม่ต้องอาย นอนกดๆ มือถือไปแป๊ปเดียว
เงยหน้ามาก็เสร็จแล้ว มาถึงขั้นตอนแรกพี่เค้าจะจัดการโกนขนให้เอง ของอ๊อฟเอาออกทั้งหมด
เรียกได้ว่าโกนแบบเกลี้ยงเกลาเลยแหละ ทุกซอกทุกมุม หลังจากนั้นแปะยาชาทิ้งไว้ประมาณ 40 – 60 นาที
ถ้าใครสตรองไม่ต้องแปะยาชาก็ได้นะ เพราะค่าแปะยาชาจะไม่รวมกับค่าเลเซอร์ ถ้าใช้ยาชาที่คลีนิคจะเสียเงิน
ครั้งละ 500 บาท แต่ทางคลีนิคแนะนำว่าให้ไปซื้อยาชาข้างนอก รู้สึกจะชื่อว่า EMLA Cream 5% ข้างนอกราคา
มันจะมาณ 600-800 บาท ซึ่งใช้ได้ 2-3 ครั้งเลย จะคุ้มกว่ามาเสียค่ายาชากับทางคลีนิคเป็นรายครั้ง
อ๊อฟเคยยิงทั้งแปะยาชาและไม่แปะยาชา จะบอกว่าไม่ต่างกันเท่าไหร่หรอก หลังๆ อ๊อฟไม่แปะเลย
ไม่ได้งกนะ 555 แต่ไม่อยากมานอนรอแปะยาชานานเป็นชม. ไหนๆ ก็เจ็บเหมือนกัน
กัดฟันอดทนแปปเดียวก็เสร็จแล้ว T.T  (ใครไม่สตรองไม่แนะนำเด้อ)

หลังจากนั้นพี่เค้าก็จะโปะเจลเย็นๆ เพื่อประคบให้เรา ยิ่งเย็นยิ่งดีเพราะเราจะรู้สึกชาและเจ็บน้อยลง
อ๊อฟนี่พอยิงไปรีเควสเจลเย็นเพิ่มเลย ได้แต่กรีดร้องอยู่ในใจ

” ถ้าให้บอกความรู้สึกมันจะเหมือนคนเอาหนังสติ๊กมายิงตรงนั้นซ้ำไปซ้ำมา ยิงเหมือนโกรธแค้นอะไรมา
ยังไงยังงั้น ฮ่า ฮ่า ฮ่ามันจะดีดๆ ร้อนๆ เจ็บๆ แปลบๆ ก็เจ็บอะแหละมายิงทุกครั้งก็เจ็บทุกครั้ง
แต่ถามว่าทนได้มั้ยก็ทนได้นะ ไม่ได้เจ็บถึงขนาดทนไม่ไหว ระหว่างยิงก็ขาหงิกขางอ มือเท้าเกร็งกันไป
พี่พนักงานก็น่ารักมาก จะมานวดขา บีบขา ชวนคุยเบี่ยงเบนความสนใจให้เราไม่รู้สึกเจ็บ
ถามว่าได้ผลมั้ย….ม่ายยยยยยยยยยย  ยังเจ็บอยู่เหมือนเดิมแต่รู้สึกดี (ยิ้ม)
เราจะยิงกันทั้งหมด 2 รอบ รอบที่ 1 ยิงจนทั่วแล้วรอบที่ 2 มาเน้นเก็บรายละเอียดอีกที
ซึ่งใช้เวลาไม่นานค่ะ 15 -20 นาทีก็เรียบร้อย สำหรับการทำเลเซอร์กำจัดขนน้องสาว “

หลังจากยิงเสร็จพี่เค้าก็จะทายาให้ กลับมาบ้านก็ไม่ต้องดูแลอะไรเป็นพิเศษแค่งดใช้สบู่
หรืออะไรที่เป็นกรดเท่านั้นเอง สำหรับอ๊อฟยิงเสร็จมันก็จะแดงๆ เจ็บๆ ระบมนิดหน่อย
แต่ไม่มีอาการแสบร้อนหรือว่าผิวไหม้จากการยิง ซึ่งวันสองวันรอยแดงหรืออาการเจ็บก็จะหายไปเอง
แต่หลังยิงเลเซอร์ผิวจะแห้งขึ้นและลอกเป็นขุยได้ ไม่ได้เฉพาะน้องสาว แขนขาอ๊อฟยิงมาผิวก็แห้งมากกว่าเดิม
ดังนั้นหลังทำเลเซอร์ประมาณ 1 – 3 วัน ควรใช้ครีมบำรุงเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว
ปล. แต่ตรงนั้นอ๊อฟไม่ได้ทาครีมอะไรนะ ปล่อยฟรีสไตล์
มาถึงตรงนี้แล้ว รู้นะคิดอะไรอยู่ ใครอยากดู Before และ After
ให้ดูรูปเงาะไปก่อนเนอะ อารมณ์คล้ายๆ กัน

“สรุปคือ อ๊อฟทำมาทั้งหมด 7 ครั้งแล้ว เหลือแค่อีกครั้งเดียวก็จะครบคอร์ส คือ ตั้งแต่ครั้งที่ 3
ขนน้องสาวของอ๊อฟก็ขึ้นมาน้อยมากแถมเส้นขนก็บางลงไม่แข็งเหมือนก่อน มีความเรียบเนียนขึ้น
และรู้สึกสะอาดสบายไม่อับชื้น ช่วงแรกก็จะโล่งๆ แต่หลังๆ บอกเลยว่าชิน เหมือนกลับไปเป็นเด็กน้อยอีกครั้ง
ยิ่งวันนั้นของเดือนนะ ไม่มีกลิ่นอับเลย ดูแลรักษาทำความสะอาดง่าย…คือ ถ้ารู้ว่าดีแบบนี้รู้งี้ทำนานแล้ว “
ถ้าใครกำลังหาข้อมูลกำจัดขนจะทำไม่ว่าจะเป็น Bikini Line หรือ Whole Bikini แบบอ๊อฟหรือจะเป็นหนวด
ขนแขน ขนขาอ๊อฟแนะนำว่าทำเลยมันดีมากกกก ส่วนขนตรงนั้นรวบรวมความกล้า ฮึบนึง ไม่ต้องอาย
เพราะพี่พนักงานที่ยิงเลเซอร์เป็นผู้หญิงทั้งหมดเลยถ้าอายก็ก้มหน้าก้มตาเล่นมือถือไปเหมือนอ๊อฟ
ปล่อยตัวตามสบายไม่ต้องเกร็งมาถึงจุดนี้แล้ว มันเป็นเรื่องของสุขอนามัยเนอะ
ถ้าใครสนใจก็ลองเชคโปรโมชั่นกับทาง APEX PROFOUND BEAUTY ดูนะคะ
เค้ามีโปร ออกมาเรื่อยๆ ส่วนรีวิวหน้าจะมาแชร์ประสบการณ์อะไรอีก อย่าลืมติดตามกันน้าาาา

https://www.facebook.com/ApexProfoundBeauty/

 สอบถามเพิ่มเติมที่ไลน์@ คลิก
http://line.me/ti/p/%40apexbeauty
ผมร่วง ผมบาง เป็นปัญหาหนักอกหนักใจของใครหลายคน ไม่ใช่แค่เฉพาะผู้ชายที่กังวลเท่านั้น
แต่ผู้หญิงที่ผมยาวๆ ผมหนาๆ อย่างเราก็กังวัลไม่แพ้กัน ไม่ว่าทำทรีทเม้นท์
อบไอน้ำหรือสปาผม อ๊อฟก็ทำมาแทบจะหมดแล้วทั้งนั้น แต่ผมก็ยังไม่หยุดร่วงสักที จริงๆ ก็ปรึกษาคนรอบข้าง
เกี่ยวกับเรื่องผมร่วง มีทั้งให้ตัดผมสั้นบ้าง ใช้เซรั่มบ้าง หรือใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารสกัดจากธรรมชาติบ้าง
และทันทีก็คิดได้ว่าสมุนไพรธรรมชาติของเรานี่แหละ ที่จะแก้ผมร่วง ผมบาง ของเราได้ดีที่สุด
 วันนี้อ๊อฟเลยจะมารีวิวแชมพูที่อ๊อฟได้มาลอง เค้าบอกว่าเหมาะสำหรับผมอ่อนแอขาดหลุดร่วง
นั่นก็คือแบรนด์ FALLES นั่นเอง ซึ่งตัวแชมพูมีทั้งหมด 2 สูตร ด้วยกัน
1. FALLES Hair Reviving Shampoo  Healthy & Strong formula สำหรับผมร่วง (สูตรสำหรับผมธรรมดา-ผมมัน)
2. FALLES Fullness Hair Reviving Shampoo สำหรับผมแห้งขาดการบำรุง (สูตรผมหนานุ่ม)
 FALLES  Hair Reviving Shampoo Healthy & Strong formula สำหรับผมร่วง (สูตรสำหรับผมธรรมดา-ผมมัน)
 แชมพูที่ช่วยดูแลปัญหาเส้นผมและหนังศีรษะด้วยการทำความสะอาดขจัดสิ่งสกปรกที่อุดตันรูขุมขน
ซึ่งเป็นสาเหตุให้รากผมอ่อนแอและเกิดอาการคันศีรษะ โดยไม่ทำลายความสมดุลและความชุ่มชื่นตามธรรมชาติ
ทำให้สารอาหารเข้าไปบำรุงผม จึงทำให้เส้นผมดูมีสุขภาพดี  เหมาะสำหรับผมธรรมดา – ผมมัน
FALLES  Fullness Hair Reviving Shampoo สำหรับผมแห้งขาดการบำรุง (สูตรผมหนานุ่ม)
ซึ่งแชมพูสูตรนี้ก็เหมือนกับแชมพูสูตรแรกแทบจะทุกอย่าง ที่เพิ่มเข้ามานอกจากการบำรุงผมเป็นพิเศษแล้ว
ยังเพิ่มมอยส์เจอร์ไรเซอร์ที่ช่วยให้ผมนุ่มลื่น จัดทรงง่ายเข้ามาอีกด้วย เหมาะสำหรับผมแห้งขาดการบำรุง
ปกติเวลาเราซื้อแชมพูแพคเกจมันก็จะมาเป็นขวดอย่างเดียว แต่ฟอลเลสเค้ามีกล่องใส่ด้วย
ที่พิเศษไปกว่านั้น เค้ามีอักษรเบรลล์ทั้งบนกล่องและขวดแชมพูอีกด้วย ใส่ใจผู้บริโภคจริงๆ
 อย่างที่บอกว่าฟอลเลสเค้ามีสารสกัดจากธรรมชาติ คือ น้ำมันสกัดเย็นจากผิวมะกรูด (Kaffir Lime Essence)
ซึ่งประโยชน์ของน้ำมันผิวมะกรูดสามารถช่วยบำรุงหนังศีรษะและเส้นผม
ช่วยป้องกันและดูแลผมขาดหลุดร่วงทำให้ผมนุ่มลื่น
 (สูตรสำหรับผมธรรมดา-ผมมัน)
ลักษณะของแชมพูจะเป็นเนื้อเจลใสๆ มีกลิ่นหอมของมะกรูด อ๊อฟว่ากลิ่นมันหอมสดชื่น
เหมือนเวลาเราเดินเข้าไปนวดแผนไทย สปา อโรมา อะไรประมาณนั้น ดูผ่อนคลายดี
แต่สระออกมาแล้ว ตอนผมแห้งกลิ่นของมะกรูดเบาบางมาก แทบจะไม่มีกลิ่นเลยต้องเข้ามาดมใกล้ๆ ถึงจะได้กลิ่น
 (สูตรผมหนานุ่ม)
อีกสูตรลักษณะของแชมพูจะเป็นสีขาวขุ่น ค่อนข้างเข้มข้น มีกลิ่นหอมของมะกรูดเช่นเดียวกัน
ลักษณะผมของอ๊อฟ สมัยก่อนอ๊อฟเป็นคนผมยาว เส้นใหญ่และหนาพอสมควร แต่พออายุเพิ่มมากขึ้น
มีปัจจัยหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นฮอร์โมน การรับประทานอาหาร หรือการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่เหมาะกับ
สภาพหนังศีรษะและเส้นผม  ผมเคยทำสีหรือโดนสารเคมีบ่อยๆ ผมตอนนี้เลยบางลง
บางเส้นรากผมหลุดร่วงออกมาด้วย จะเห็นเป็นสีขาวจุดเล็กๆ ที่โคนผมตามภาพ
ผมร่วงทุกวันติดเสื้อผ้า ที่นอน พื้นและเวลาอาบน้ำ
 ทางแบรนด์เลยให้แชมพูอ๊อฟมาทดลองใช้และรีวิวประสบการณ์หลังการใช้ 7 วัน
แต่อ๊อฟใช้ต่อไปจนครบ 14 วัน หรือสองสัปดาห์จนมาถึงทุกวันนี้ และยังใช้ตัวอื่นของเค้าเพิ่มด้วย
อ๊อฟว่า 14 วันหรือมากกว่านั้นเป็นระยะทดลองที่กำลังดี สามารถสรุปผลอะไรได้พอสมควร
 ความรู้สึกหลังทดลองใช้แชมพู  ส่วนตัวอ๊อฟชอบนะ อะไรที่เป็นสมุนไพรไทยหรือเป็นสารสกัดจากธรรมชาติ
ฟองแชมพูก็ไม่ค่อยเยอะ ล้างออกเกลี้ยงดี ยิ่งตอนสระผมรู้สึกว่ากลิ่นของมะกรูดมันหอมสดชื่น ทำให้อารมณ์ดี
(หลังสระผม/เป่าผมธรรมดา) 
หลังจากลองใช้มา 14 วัน อ๊อฟรู้สึกว่าถ้าใช้แค่แชมพูอย่างเดียว เวลาจับหรือสัมผัสเส้นผม
ผมมันจะกระด้างและแห้งไปนิดนึง คงเป็นเพราะฟอลเลสเค้าปราศจากซิลิโคน ซึ่งเจ้าซิลิโคนนี่แหละ
เป็นตัวการทำให้ตกค้างล้างออกไม่หมด ซิลิโคนก็จะเข้าไปเคลือบปิดรูขุมขน ซึ่งเป็นสาเหตุของการอุดตัน
บางคนสิวขึ้นตามกรอบหน้า หน้าผากหรือไรผม นอกจากนั้นยังเป็นสาเหตุให้ผมร่วงหรือผมบาง
เนื่องจากเซลล์รากผมไม่ได้รับสารอาหารรากผมจึงอ่อนแอทำให้ผมร่วงง่ายขึ้นกว่าเดิม

แต่อย่างที่บอกว่าถ้าใช้แชมพูเดี่ยวๆ จะรู้สึกว่าผมแห้งไปหน่อย ควรใช้ควบคู่กับครีมนวดของเค้าด้วย
หรือจะใช้อีกสูตรที่ช่วยเพิ่มความนุ่มลื่นและบำรุงผมเป็นพิเศษก็ได้เช่นกัน

ส่วนเรื่องผมร่วงอาจจะยังไม่เห็นชัดมาก แต่ก็รู้สึกได้ว่าผมร่วงตามพื้นห้องนอน ติดตามหวี
ตามห้องน้ำ หรือตอนสระผม ร่วงน้อยลงกับตอนที่ไม่ได้ใช้แชมพู ที่เห็นได้ชัดคือ หลังสระผมเสร็จ
รู้สึกหนังศีรษะสะอาดขึ้น เบาสบายหัว ผมไม่พันกัน รู้สึกว่าผมมันน้อยลง ปกติผมจะมันเร็วมาก
แปปเดียวก็ต้องสระผมแล้วแต่พอใช้แชมพูฟอลเลสผมมันช้าลง ไม่ต้องสระผมบ่อย ชอบจริงๆ 555
 สรุปๆๆๆ เป็นแชมพูแก้ผมร่วงที่ราคาน่ารัก หาซื้อง่าย ตาม 7/11 หรือบิ๊กซีแถวบ้านก็มี
(แต่ตัวแฮร์โทนิคใช้ดีมาก ทำไมไม่เอามาขายใน 7 บ้าง T.T)
ผลลัพธ์ค่อนข้างโอเค ควรใช้เป็นประจำอย่างต่อเนื่องถึงจะเห็นผลลัพธ์และแนวโน้มไปในทางที่ดีขึ้น
สุดท้ายนอกจากจะเลือกใช้แชมพูที่เหมาะกับเส้นผมแล้ว การรับประทานอาหารที่มีโปรตีนสูง
ยังสามารถลดอาการผมร่วง ผมบางหรือผมไม่แข็งแรงได้อีกด้วยนะคะ

#fallesdaretotry #falless #daretotry

  sponsored by falles

http://www.falles.co.th/

สาวๆ เคยเป็นมั้ยคะ เวลาที่เราเป็นประจำเดือนแล้วทำให้เรามีข้อจำกัดให้ไม่สามารถทำอะไรอย่างที่เราต้องการ
ทำได้ เช่น ว่ายน้ำ , โยคะ หรือทำกิจกรรมลุยๆ แต่สำหรับอ๊อฟไม่มีปัญหาเลยค่ะเพราะเราได้ผ่านจุดนั้นมาแล้ว
แต่กว่าจะผ่านจุดนั้นมา ก็เล่นเอาเหงื่อตก ถอดใจไปหลายวันเลยทีเดียว

วันนี้เลยมาขอเล่าประสบการณ์การใส่ผ้าอนามัยแบบสอดของอ๊อฟให้อ่านกัน อ๊อฟเคยได้ยินว่ามีผ้าอนามัย
แบบสอดมานานมากแล้ว แต่เอาจริงๆ ตอนนั้นไม่รู้ว่าเค้าใช้ทำอะไร เลยไม่ได้สนใจ เวลาที่มีประจำเดือน
หรือต้องทำกิจกรรมลุยๆ ก็จะอดทำทุกที มีอยู่วันนึงไปทะเลกับเพื่อนแล้วดันแจคพอตเมนส์มาพอดี
หมดกันชุดว่ายน้ำที่เตรียมมา เลยได้แต่ทำหน้าหงอยๆ นอนเล่นมือถือไป จนเพื่อนเข้ามาทักและถามว่า
ทำไมไม่ไปเล่นน้ำ อ๊อฟก็ตอบว่าเป็นเมนส์เค้าลงน้ำได้ที่ไหนล่ะ ขืนลงไปเลือดนองเต็มทะเลพอดี 55
พอเพื่อนได้ยินคำตอบก็สวนกลับมาว่าแกเป็น blogger ภาษาอะไรวะ ไม่รู้จักผ้าอนามัยแบบสอด
ผ้าอนามัยแบบสอดเค้าใส่แล้วว่ายน้ำได้ย่ะ พอได้ยินอ๊อฟก็ตกใจ ไอผ้าอนามัยแบบสอดอะรู้เคยได้ยินชื่อ
แต่ไม่รู้ว่ามันทำแบบนั้นได้ด้วยหรอ ไม่รอช้าเลยขอของเพื่อนไปใส่โดยที่ไม่รู้เลยว่ามันใส่ยังไง

หน้าตามันก็เป็นแบบแท่งเล็กๆ นิดเดียว ตอนนั้นคิดแค่ว่ามันจะใส่เข้าไปได้ยังไง ได้แต่อ่านวิธีหลังกล่อง
เค้าบอกว่าอย่าเกร็งให้ทำตัวสบายๆ จะทำให้ใส่ง่าย นี่เปิดเพลงเลยจ้า เพลงมาขนาดนี้ผ่อนคลายแน่นอน
สรุปว่ายัดไม่เข้า 555 ยัดไปนิดเดียวก็หลุดออกมา ไม่ว่าจะนั่งยองๆ ก็แล้วยกขาพาดชักโครกก็แล้ว
ออกมานอนใส่ก็แล้วไม่สามารถใส่เองได้เลย ไม่สามารถทนดูภาพเหล่านั้นของตัวเองได้เลยถอดใจไปก่อน
หลังจากนั้นก็กลับหาข้อมูลของผ้าอนามัยแบบสอด เค้าบอกว่าต้องเลือกแบบที่มี ” เครื่องช่วยสอด “
จะทำให้ใส่ง่าย มือใหม่ก็ใส่ได้ พอลองแบบที่มีเครื่องช่วยสอดก็ใส่ได้ง่ายจริงๆ ไม่ยากอย่างที่คิดเลย
หลังจากนั้นก็ใช้มาตลอดเพราะรู้สึกว่าใส่แล้วสบายเหมือนไม่ได้ใส่ มันคล่องตัว จะลุกจะเดิน กระโดด
หรือออกกำลังกายก็ไม่ต้องระวังว่าผ้าอนามัยจะขยับมั้ย จะเลอะเทอะเปอะเปื้อนหรือเปล่า
เวลาแต่งตัวไปงานก็ไม่ต้องกลัวว่าจะเห็นรอยหรือขอบของผ้าอนามัยเวลาใส่แผ่นยาวๆ

สำหรับใครยังไม่เคยลองและกำลังคิดจะลอง วันนี้อ๊อฟมีผ้าอนามัยแบบสอดมาแนะนำค่ะ Tamme’
ผ้าอนามัยแบบสอดแทมเม่ เป็นผ้าอนามัยแบบสอดที่ใช้ซึมซับประจำเดือนโดยการสอดเข้าไปในช่องคลอด
ออกแบบมาสำหรับมือใหม่และสาวเอเซียโดยเฉพาะ มาพร้อมกับแอปลิเกเตอร์อุปกรณ์ช่วยสอดใส่

มีให้เลือก 3 ขนาดด้วยกันคือ 3 ขนาดที่ว่านี้ไม่ใช่ไซส์ของน้องสาวเรานะคะ อย่าเข้าใจผิด รู้นะคิดอะไรอยู่
3 ไซส์ที่ว่านี้หมายถึงปริมาณของประจำเดือนของเราค่ะ แหมๆๆ คิดไปไกลเลย
MINI SIZE  สำหรับวันมาน้อย (1 กล่อง 16 ชิ้น ราคา 184 บาทไม่รวมค่าจัดส่ง)
REGULAR SIZE สำหรับวันมาปกติ (1 กล่อง 16 ชิ้น ราคา 184 บาทไม่รวมค่าจัดส่ง)
SUPER SIZE สำหรับวันมามาก (1 กล่อง 16 ชิ้น ราคา 184 บาทไม่รวมค่าจัดส่ง)
จริงๆ มันก็เหมือนกับผ้าอนามัยทั่วไปที่มีแบบสำหรับกลางวัน มาน้อยมาปกติ
หรือแบบกลางคืนมามาก อย่างที่เราเห็นๆ กันในท้องตลาดหรือร้านสะดวกซื้อทั่วไป

ลักษณะหน้าตาของผ้าอนามัยแบบสอดที่มีเครื่องช่วยสอด หน้าตามันก็จะเป็นแบบนี้
เป็นแท่งพลาสติกที่มีผ้าอนามัยอยู่ข้างใน ขนาดก็ไม่ได้ใหญ่อะไรมากมาย ไม่ต้องตกใจกลัวไปค่ะ
ใช้ง่าย ใส่ง่ายเพราะตัวแท่งพลาสติกจะลื่นเลยทำให้ใส่เข้าไปได้ง่ายกว่าแบบที่ไม่มีเครื่องช่วยสอด

ตัวผ้าอนามัยด้านในแท่งสอดหน้าตาก็จะเป็นแบบนี้ค่ะ อ๊อฟแนะนำว่าควรเลือกให้เหมาะสมกับวันนั้นของเดือน
เช่นมาน้อยก็เลือกใช้แบบน้อย มามากก็ใช้แบบมาก ส่วนตัวอ๊อฟก็ใช้สลับไปมาทุกไซส์ ถ้าวันแรกก็จะใช้แบบ
มาปกติ REGULAR SIZE พอวันที่ 2 -3 ก็จะใช้แบบ SUPER SIZE เพราะประจำเดือนเริ่มมาเยอะแล้ว
หลังจากนั้นก็จะเปลี่ยนกลับมาใช้ไซส์ MINI SIZE เพราะประจำเดือนใกล้จะหมด
ผ้าอนามัยแบบสอดหรือแผ่นเหมือนกันคือควรเปลี่ยนทุกๆ 4 – 6 ชม. เพื่อความสะอาดและไม่อับชื้นค่ะ
ส่วนใครยังนึกภาพวิธีใส่ไม่ออก อ๊อฟมีวิธีใส่มาบอกกันค่ะ

1.ก่อนใส่ทุกครั้งล้างมือให้สะอาดนะคะ นั่งท่าที่สบายๆ ไม่ต้องเกร็งหรือเครียดแล้วแยกขาออกค่ะ
2. ใช้มืออีกข้างหนึ่งเปิดช่องอวัยวะเพศ หันปลายหลอดให้ตรงกับปากช่องคลอด หายใจออกเบาๆ
เป่าปากนิดๆ ก็ได้ค่ะ และใส่อุปกรณ์ช่วยสอดเข้าไปในช่องคลอดจนถึงบริเวณโคนหลอด
ทริคการใส่ของอ๊อฟคือ ใส่ให้ลึกไปประมาณนึง แต่ไม่ต้องลึกมากนะคะ เอาเป็นว่าใส่ไปแล้วความรู้สึกมันจะบอก
3. ดันส่วนก้านหลอดเพื่อส่งให้ผ้าอนามัยเข้าไปในช่องคลอดจนถึงปากมดลูก
ถ้าใส่แล้วรู้สึกไม่สบายแสดงว่าอาจจะใส่ผ้าอนามัยผิดตำแหน่ง ให้ดึงออกแล้วสอดใหม่อีกครั้งค่ะ
4. วิธีถอดนั่งแยกขาในท่าสบายๆ บนชักโครกหรือจะนั่งยองๆ ก็แล้วแต่ความถนัดค่ะ แล้วดึงเชือกออกมา
เคล็ดลับ ถ้านั่งยองๆ แล้วเบ่งไปด้วย ตอนดึงเชือกจะดึงได้ง่ายกว่าปกติค่ะ

เป็นยังไงคะ ผ้าอนามัยแบบสอดไม่น่ากลัวและใส่ยากอย่างที่คิดเลย ส่วนตัวแล้วอ๊อฟชอบนะ
เพราะมันสามารถทำอะไรที่อยากทำได้ไม่ต้องมานั่งกังวลพอถึงวันนั้นของเดือนจะทำอะไรไม่ได้
กลายเป็นว่า เป็นวันนั้นทีไรก็ต้องหยิบแบบสอดมาใช้ทุกที สำหรับสาวๆ ที่สนใจผลิตภัณฑ์ของ
Tamme’ ผ้าอนามัยแบบสอดแทมเม่ ตอนนี้มีวางจำหน่ายทางออนไลน์แล้วนะคะ
สามารถเข้าไปดูรายละเอียดได้ที่แฟนเพจหรือเวปไซต์ตามลิงก์ข้างล่างได้เลยค่ะ
FACEBOOKTAMME
WEBSITE

 

TAMME

 

สวัสดีค่ะ วันนี้อ๊อฟจะมารีวิวนมอัลมอนด์ยี่ห้อต่างๆ ที่อ๊อฟทานอยู่ ซึ่งอย่างที่รู้ว่านมอัลมอนด์นั้นกำลังเป็นที่นิยม
ในหมู่คนที่ดูแลสุขภาพ และยังเหมาะกับคนที่กำลังลดหรือควบคุมน้ำหนักเพราะเค้าแคลลอรี่ไม่เยอะ
แถมยังเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับคนที่แพ้นมวัวอีกด้วย
ประโยชน์ของนมอัลมอนด์นั้นมีเยอะแยะมากมาย เพราะเค้าอุดมไปด้วยวิตามิน แร่ธาตุและไขมันดีที่มีประโยชน์
ต่อร่างกาย แถมยังช่วยลดน้ำหนักได้อีก จะทานก่อนหรือหลังออกกำลังกายก็ยังได้ นอกจากจะช่วยบำรุง
ร่างกายแล้วยังช่วยบำรุงผิวพรรณเพราะเค้ามีทั้งวิตามิน B,D และ E
บอกประโยชน์ไปก็คงไม่หมดเอาเป็นว่าประโยชน์มันเยอะมากกกก
เอาเป็นว่ามาดูกันว่ายี่ห้อไหนทานแล้วอร่อยบ้าง
มาเริ่มกันที่ยี่ห้อแรก 137degrees ซึ่งยี่ห้อนี้เป็นยี่ห้อแรกที่อ๊อฟเริ่มทานเลย ไปเห็นมาที่ LAWSON แถวบ้าน
กล่องน่ารักดีไม่เล็กไม่ใหญ่จนเกินไป จับสะดวก มีให้เลือกหลายรส ซึ่งราคาจะสูงกว่าอีกสองยี่ห้อที่อ๊อฟทานมา
รู้สึกกล่องละ 20 กว่าบาท แต่ละรสราคาไม่เท่ากัน จุดเด่นที่ทางแบรนด์บอก เค้าบอกว่าใช้ถัวเมล็ดเต็มจริง
มาคั้นสด 100% เท่านั้น ใช้ถั่วในปริมาณมากกว่า ไม่ผสมถั่วเหลือง นมวัวหรือน้ำตาลทราย ที่สำคัญโซเดียมต่ำ

137degrees Almond Milk original unsweetened (รสดั้งเดิมไม่หวาน) 60 แคล

ถ้าใครยังไม่เคยกินนมอัลมอนด์ก็จะรู้สึกแปลกๆ หน่อย เพราะมันจะไม่เหมือนนมวัวหรือนมถั่วเหลืองเลย สัมผัสแรกที่จะได้รับคือกลิ่นหอมๆ จากอัลมอนด์ ความเข้มข้นของนม รสนี้ปราบเซียนมากเพราะมันไม่หวานเอาซะเลย ถ้าใครเริ่มทานนมอัลมอนด์ครั้งแรก  ไม่แนะนำแบบไม่หวานค่า เพราะถ้าไม่เกลียดไปเลยก็อาจจะชอบไปเลยเหมือนกัน

137degrees Pistachio Milk sweetness from organic coconut flower nectar(นมพิสตาชิโอ) 60 แคล

ต่อมาเป็นนมพิสตาชิโอ ตัวนี้จะรสชาติหวานน้อยเพราะเค้ามีความหวานจากเกสรดอกมะพร้าว ถึงจะหวานแต่ไม่ได้หวานมาก จะหวานแบบจางๆ มีกลิ่นหอม ทานง่ายหน่อย ตัวนี้อร่อยเลยสำหรับอ๊อฟ

137degrees belgian Chocolate with Pistachio Milk(นมพิสตาชิโอรสช็อคโกแลต) 70 แคล

ตัวนี้เป็นนมพิสตาชิโอสูตรเบลเยี่ยมช็อกโกแลต ซึ่งช็อคโกแลตเป็นแบบเข้มข้นมากกก กินครั้งแรกถึงกับสะอึกเลย เพราะมันออกขมๆ จืดๆ แถมไม่อร่อยเลยสักนิด ต้องขออภัยคนที่ชอบช็อคโกแลตด้วย ตัวนี้อ๊อฟว่าไม่ผ่านเลย 555

137degrees Walnut Milk sweetness from organic coconut flower nectar(นมวอลนัทหวานน้อย) 60 แคล

สุดท้ายเป็นนมวอลนัท กลิ่นก็จะหอมๆ และหวานน้อยเช่นเคย แต่ทำไมอ๊อฟรู้สึกว่านมวอลนัทตัวนี้จืดกว่านมพิสตาชิโอ แต่ก็ยังโอเคกว่ารสช็อคโกแลตละกัน ทานได้หมดกล่อง

ปกติทานแต่อัลมอนด์ของ Blue Diamond พอเค้าทำนมอัลมอนด์ออกมาก็ไม่รอช้าที่จะลอง เค้าวางขายที่ 7/11
ราคาไม่เกิน 20 บาท ซึ่งนมอัลมอนด์ของบลูไดมอนด์เค้าผลิตจากเมล็ดอัลมอนด์แท้นำเข้าจากแคลิฟอเนียร์
ปราศจากคลอเรสตอรอลและไม่มีส่วนผสมของนมเหลืองและนมวัวเช่นกัน

Blue Diamond Almond Breeze Almond Milk Unsweetened original(รสดั้งเดิมไม่หวาน) 25 แคล

จุดเด่นของยี่ห้อนี้อ๊อฟว่าทานง่าย สำหรับรสออริจินัลจะไม่หวานเลย และนมอัลมอนด์ของยี่ห้อนี้จะไม่เข้มข้น หนืดหรือฝืดคอ มีกลิ่นหอมบางๆ ของอัลมอนด์ อารมณ์เหมือนกินนมจืดประมาณนั้นเลย

Blue Diamond Almond Breeze Almond Milk Original(รสดั้งเดิมหวานน้อย) 45 แคล

ตัวนี้จะมีความหวานเล็กน้อย ไม่ได้หวานมากมาย อ๊อฟว่ากำลังดี กลิ่นหอมๆ ของอัลมอนด์และความหวานเบาๆ ลงตัว แช่เย็นๆ ทานแล้วสดชื่น

Blue Diamond Almond Breeze Almond Milk Vanilla Flavor(รสวานิลา) 60 แคล

ตัวนี้กรี๊ดมาก เพราะเป็นคนชอบกลิ่นวานิลา ชอบทานนมวานิลา มันจะหวานแบบนัวๆ ไม่ได้หวานเลี่ยน หวานหอม อร่อยอะ ชอบบบบ

Blue Diamond Almond Breeze Almond Milk Chocolate Flavor(รสช็อคโกแลต) 70 แคล

มาถึงรสช็อกโกแลต โดยรวมก็จะอารมณ์เหมือนโกโก้แบบหวานน้อย ตัวนี้อาจจะไม่ได้กลิ่นหอมของอัลมอนด์เท่าไหร่ เพราะกลิ่นของโกโก้มันกลบแต่ก็อร่อยเหมือนกัน ดีกว่าของ 137degrees เยอะเลย

มาถึงน้องใหม่อีกแบรนด์นึง ถ้าบอกชื่อก็คงร้อง อ๋อ เพราะเค้าเด่นในเรื่องน้ำผลไม้ นั่นก็คือ MALEE นั่นเอง
มาวันนี้เค้าทำน้ำ(นม)อัลมอนด์ออกมา ซึ่งเหมือนเดิมไม่มีส่วนผสมของนมผงและถั่วเหลือง
อ๊อฟซื้อมาจาก 7/11 แถวบ้าน ราคากล่องละ 25 บาท ไม่รู้ตอนนี้มีโปรโมชั่นหรือเปล่า

Malee Almond drink Honey with Vanilla Flavor (รสน้ำผึ้งวานิลา) 

อึกแรกที่ชิม ถึงกับอุทาน นี่มันน้ำอะไรเนี่ย ไม่อร่อยเลย สาบานว่าทานไม่หมดกล่อง อัลมอนด์แบบจางมากกก จางแบบสุดๆ แถมดันผสมน้ำผึ้งเข้ามาอีก ไม่เข้ากันอย่างแรง อย่าโกรธหนูน้าาา เพราะมันไม่อร่อยจริงๆ 

Malee Almond drink Original (รสดั้งเดิม) 80 แคล

หลังจากที่ลองรสน้ำผึ้งไปแล้ว ใจนึงก็ไม่อยากลองรสออริจินัลเลย แต่เอาวะ เป็นไงเป็นกัน ปรากฎว่ารสออรินัลโอเคเฉยเลย แปลกใจมาก เป็นนมอัลมอนด์แต่มีกลิ่นเมล็ดทานตะวันเด่นมาก มีความหวานจากดอกมะพร้าว พอทานได้ไม่ถึงกับแย่

สรุป ทั้งหมดก็เป็นเพียงความเห็นของอ๊อฟเท่านั้น บางคนทานอาจจะบอกว่าอร่อย วันนี้อ๊อฟเพียงมารีวิวไว้เป็นไกด์ไลน์เผื่อใครอยากจะลองทานนมอัลมอนด์ สุดท้ายนี้อยากจะบอกว่านมอัลมอนด์มันเหมาะเป็นมื้อว่าง มื้อเสริมระหว่างหรือ pre-workout มาก ไม่ควรทานเพื่อเป็นการลดน้ำหนักนะคะ ทานอาหารอะไรก็แล้วแต่อย่าลืมออกกำลังกาย เพื่อสุขภาพที่ดีและหุ่นสวยๆ กันนะคะ