Category

Lifestyle

Category
ใครบอกประเทศไทยมีฤดูร้อน ฝน หนาว อ๊อฟขอเถียงขาดใจ บ้านเรามีแค่ฤดูร้อน ร้อนมาก และ ร้อนม๊ากมาก
แม้ว่าจะยังไม่เข้าสู่เดือนเมษา แต่แดดบ้านเราก็แผดเผาจนแทบจะละลายแล้ว หรือต่อให้อากาศจะเย็นลง
หรือเข้าสู่ฤดูหนาว (ที่หนาวได้แค่ 3 วัน) การยืนอยู่ในที่ร่ม นั่งทำงานในออฟฟิศ หรืออยู่บนถนน
เราก็ยังได้รับรังสีอัลตราไวโอเลตหรือรังสียูวีในแสงแดดอยู่ดี เพราะฉะนั้นนอกจากจะใส่เสื้อผ้าที่ป้องกัน
แสงแดด กางร่มและใส่หมวกแล้ว สิ่งที่ขาดไม่ได้และควรให้ความสำคัญนั่นก็คือ “ครีมกันแดด” นั่นเอง

เมื่อผิวของเราได้รับแสงแดดโดยเฉพาะแสงแดดที่แรงมาก ๆ อย่างรังสี UVB เซลล์ผิวหนังของเรา
ก็จะสร้างเม็ดสีเมลานินเพิ่มมากขึ้น จนทำให้ผิวหนังมีสีคล้ำและดำขึ้น บางคนอาจเกิดปัญหาฝ้า กระ ตามมา
นอกจากนี้แสงแดดยังมีรังสี UVA ที่จะเข้าไปทำร้ายคอลลาเจนใต้ผิวทำให้ผิวของเราแห้งกร้าน
เกิดริ้วรอยผิวหนังเหี่ยวย่นหรือดูแก่ก่อนวัยอันควรอีกด้วย

ดังนั้นการทา ” ครีมกันแดด “ จึงเป็นเรื่องที่สำคัญมาก

และแน่นอนว่าพูดมาถึงขนาดนี้แล้ว จะไม่รีวิวครีมกันแดดได้ยังไงเนอะ
ต้องบอกเลยว่า บีโอเรเป็นครีมกันแดดที่อ๊อฟใช้อยู่เป็นประจำอยู่แล้ว และตอนนี้ทางบีโอเรเค้าก็มี
สูตรใหม่ Biore UV Aqua Rich Watery Essence SPF50+ PA++++  นวัตกรรมกันแดดกันแก่ขั้นสุด
ล่าสุดจากญี่ปุ่น กันแดดสูตรน้ำเนื้อบางเบาพิเศษ กันน้ำ กันเหงื่อ และเพิ่มประสิทธิภาพการปกป้องสูงสุด
ให้กันแดดติดทน ปกป้องลึกถึงคอลลาเจน ที่พร้อมให้อ๊อฟออกไปเผชิญแดดแบบไม่กลัวแก่ ไม่แคร์แดด
 15 กรัม ราคา 129.00 บาท
50 กรัม ราคา 420.00 บาท
85 กรัม ราคา  650.00 บาท
Strong UVA/UVB Block
ไม่กลัวแก่  ไม่แคร์แดด ด้วย  PA++++ ให้การปกป้อง UVA สูงสุด ไม่ให้ทำร้ายคอลลาเจน ผิวไม่แก่ก่อนวัย
ผิวไบร์ท ไม่หมองคล้ำ ด้วย  SPF50+ ปกป้อง UVB สูงสุด สาเหตุของผิวคล้ำเสีย และฝ้า กระ จุดด่างดำ
Very Water Resistance
ปกป้องผิวได้ต่อเนื่องและยาวนาน ด้วยสูตรพิเศษ กันน้ำ กันเหงื่อ
Watery Hydrate Essence
 ผิวสัมผัสที่ทุกคนชื่นชอบ ด้วยเนื้อเอสเซ้นส์ สูตรน้ำ บางเบาพิเศษ ซึมเร็ว

ผสานคุณค่าการบำรุงให้ผิวชุ่มชื่นด้วย Hyaluronic Acid, Royal Jelly Extract (สารสกัดนมผึ้ง) และ Mixed Citrus

กันแดดเป็นเนื้อเอสเซ้นส์ เนื้อบางเบา ซึมลงสู่ผิวไวมาก ที่สำคัญไม่ทำให้ผิวเหนอะหนะอีกด้วย

ด้วยความที่เนื้อเอสเซ้นส์บางเบามาก…มากจนสามารถทาทับเมคอัพระหว่างวันได้เลย
แถมเมคอัพเดิมของอ๊อฟที่แต่งมาก็ไม่ลบ ไม่ด่างและไม่เป็นคราบเลย…ฮือออ มันดีอ่าาาา
(ไม่มีครีมกันแดดยี่ห้อใดที่สามารถป้องกันรังสียูวีได้ 100% หรือป้องกันแสงแดดได้ทั้งวัน
ดังนั้นการทาครีมกันแดดซ้ำทุก ๆ 2-3 ชั่วโมง จึงเป็นสิ่งสำคัญ)
วันนี้อ๊อฟเลยจะมาเปรียบเทียบระหว่าง Biore UV Aqua Rich Watery Essence SPF50+ PA++++
กับครีมกันแดดแบรนด์ชั้นนำทั่วไปที่เราใช้อยู่เป็นประจำ ซึ่งมีเนื้อบางเบาและค่า SPF เท่ากัน
อ๊อฟจะทาครีมกันแดด Biore UV Watery Essence ที่แขนข้างซ้าย
และทาทับบนแผ่น Smart Sun ที่คาดไว้บนข้อมือด้วยค่ะ

(Smart Sun สายรัดข้อมืออัจฉริยะ ช่วยเตือนผิวจากแสงแดด)

ส่วนอีกข้างเป็นครีมกันแดดตามท้องตลาดทั่วไป อ๊อฟจะทาที่แขนข้างขวาเช่นเดียวกันค่ะ

หลังจากนั้นได้เวลาลงน้ำแล้วววว…ขอทดสอบประสิทธิภาพของการกันน้ำหน่อยซิว่ากันน้ำได้ดีแค่ไหน

แน่นอนว่าเด็กเมื่อได้ลงน้ำแล้ว มีหรอจะขึ้นง่ายๆ จ้างให้ก็ยังไม่ขึ้นหรอก ฮ่า ฮ่า ฮ่า
อากาศร้อน ๆ แบบนี้ขอดื่มน้ำมะพร้าวหน่อยเนอะ…ชื่นจายยย

แผ่น smart sun ข้างที่ทาบีโอเรยังคงไม่เปลี่ยนสี แสดงว่ากันแดดคงทนจริงๆ
และแล้วก็ครบ1 ชม. แต่เป็น 1 ชั่วโมงที่เจอทั้งแดดทั้งน้ำ แต่ถ้าสังเกตุ
สีของแผ่น smart sun ที่ข้อมือจะเห็นว่ามีความเปลี่ยนแปลงและแตกต่างเกิดขึ้นกันอยู่เหมือนกันนะ

บางคนอาจจะเห็นไม่ชัดหรือมองแล้วไม่เห็นความแตกต่าง
อ๊อฟเลยถอดสายข้อมือ Smart sun มาถ่ายแบบใกล้ๆ ให้ดูค่ะ

” จะเห็นได้ว่าข้างที่ทาครีมกันแดดบีโอเรบนแผ่น smart sun เริ่มเปลี่ยนเป็นสีครีมเพียงแค่เล็กน้อย

(ไม่รู้ว่าทาครีมไม่ทั่วหรือเปล่า ^ ^) ส่วนอีกข้างที่เป็นครีมกันแดดแบรนด์ชั้นนำทั่วไป

สีเปลี่ยนทั้งแถบ เริ่มเปลี่ยนจากสีเหลืองเป็นสีครีม สีครีมเริ่มเปลี่ยนเป็นสีชมพู 

 นั่นหมายถึงว่า ประสิทธิภาพกันแดดลดลงต้องทาครีมกันแดดเพิ่มและควรหลีกเลี่ยงแสงแดด “

หลังจากที่ตากแดดเล่นน้ำและทดลองใช้  Biore UV Aqua Rich Watery Essence SPF50+ PA++++ 
ต้องบอกเลยว่าชอบสูตรใหม่ตัวนี้มาก คุมมันได้ดีพอสมควร แถมทาทับเมคอัพได้อีก
จะเติมกันแดดระหว่างวันหน้าก็ไม่เป็นคราบ ไม่รู้สึกเหนียวเหนอะหนะ สบายผิวมาก
แถมประสิทธิภาพกันแดดยังดีเยี่ยมและติดทนนานอีกด้วย
พร้อมให้อ๊อฟกล้าออกไปเผชิญแดดแบบไม่กลัวแก่ ไม่แคร์แดด อีกต่อไปค่ะ
ทั้งนี้อย่าลืมให้ความสำคัญกับการเลือกใช้ครีมกันแดด ทาหน้า ทาตัว แล้วอย่าลืมทาคอด้วยนะคะ

” ใครไม่ทาครีมกันแดดหน้าเหี่ยว หน้าแก่ก่อนวัยไม่รู้ด้วยนะ…เออ “

สวัสดีค่ะ blog นี้อ๊อฟกลับมาพร้อมกับฮาวทูแก้ปีชง ปี 2561 ซึ่งปีฉลู ปีเกิดอ๊อฟซึ่งตรงกับปีชงพอดี
หลายท่านอาจจะไม่เชื่อในเรื่องปีชง แต่สำหรับอ๊อฟเชื่อไว้ก็ไม่เสียหายเนอะ ทำเพื่อความสบายใจ
แต่ก่อนที่เราจะไปดูวิธีแก้ปีชง มารู้ความหมายของคำว่า “ชง ” กันเลยค่ะ

ปีชง (100%)  ได้แก่  ปีนักษัตร มะโรง

หรือคนที่เกิดตรงกับปี พ.ศ. 2471, 2483, 2495, 2507, 2519, 2531, 2543, 2555

ปีชงร่วม ได้แก่ ปีนักษัตร จอ, ฉลู, มะแม

หรือคนที่เกิดปี พ.ศ. 2462, 2465, 2468, 2474, 2477, 2480, 2486, 2489, 2492, 2498, 2501, 2504, 2510, 2513,

2516, 2522, 2525, 2528, 2534, 2537, 2540, 2546, 2549, 2552, 2558

คำว่า ชง ตามภาษาจีนแปลว่า การปะทะ ดังนั้น “ปีชง” จึงหมายถึงปีที่มีการปะทะ โดยความเชื่อเรื่องของปีชง
มีมาจากความเชื่อทางโหราศาสตร์ของจีน ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับ องค์เทพไท้ส่วย ที่เรารู้จักกันดีในนาม
เทพเจ้าผู้คุ้มครองดวงชะตา” ซึ่งชาวจีนให้ความสำคัญมาก ไม่ว่าชะตาชีวิตจะดีหรือไม่ดี ชาวจีนจะต้องไหว้
เทพเจ้าคุ้มครองดวงชะตา (ไท้ส่วยเอี้ย) เพื่อให้คุ้มครอง หากดวงชะตาชีวิตดีอยู่แล้วก็จะช่วยส่งเสริมให้ชีวิต
ดียิ่งๆ ขึ้นไป ถ้าชะตาชีวิตไม่ดีก็จะช่วยผ่อนหนักให้เป็นเบา คุ้มครองป้องกันจากอุปสรรค
หรือภัยอันตรายทั้งหลายให้ผ่านพ้นไปด้วยดี

และวัดที่อ๊อฟไปแก้ปีชง นั่นก็คือ วัดเล่งเน่ยยี่ 2 หรือ วัดบรมราชากาญจนาภิเษกอนุสรณ์
ซึ่งตั้งอยู่ที่ ถ. บางกรวย-ไทรน้อย อ. บางบัวทอง จ.นนทบุรี อ๊อฟเชื่อว่าไม่มีใครไม่รู้จักที่นี่แน่นอน

เข้ามาถึงก็เดินมาทำบุญตรงที่เค้าให้ฝากดวงแก้ปีชง ราคาชุดละ  100  บาทค่ะ
หน้าตาของชุดฝากดวงแก้ปีชงก็จะเป็นแบบนี้ค่ะ เป็นกระดาษหงิ่งเตี๋ย หรือ กระดาษเงินกระดาษทอง
พร้อมเทียบแดง เขียนชื่อ-นามสกุล วันเดือนปีเกิดและเวลาเกิดค่ะ

ขั้นตอนนี้ก็ทำการเขียนชื่อ-นามสกุล ของตัวเองลงไป พร้อมวันเดินปีเกิดและเวลาเกิด
หากไม่ทราบเวลาเกิดให้เขียนคำว่า ” ดี “ ลงไปแทนค่ะ
ไม่ต้องกลัวว่าจะทำผิดขั้นตอนนะคะ เพราะทางวัดเค้ามีป้ายบอกวิธีการชัดเจน

หลังจากที่เขียนใบแก้ปีชงเสร็จ เราจะนำไปไหว้และฝากดวงชะตากับเทพเจ้าไท้ส่วยเอี๊ยกัน
จะใช้ธูปแค่ 3 ดอกจุดธูปเรียบร้อยแล้วเปิดด้านใน แล้วอ่านตามในใบเลยค่ะ อ่านเสร็จก็อธิษฐานด้วยนะคะ

หลังจากนั้น นำชุดไหว้มาปัดตัวตั้งแต่หัวจรดเท้า โดยปัดออกนอกลำตัว จำนวน 12 ครั้ง
เสร็จแล้วก็นำใบทั้งหมดที่ได้มา ไม่ต้องดึงกระดาษสีแดงด้านในออกนะคะ หยอดลงไปในกล่องแก้ปีชงเลยค่ะ

ภายด้านในยังมีองค์เทพและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ ให้ได้กราบไหว้กันค่ะ
กราบไหว้ขอพรเพื่อเป็นสิริมงคลในชีวิตกันเนอะ

หลังจากที่ไหว้เสร็จก็นำธูปไปปักในกระถางให้เรียบร้อยเป็นอันเสร็จสิ้นพิธีการแก้ปีชง
เป็นยังไงคะ ง่ายใช่มั้ยหละขั้นตอนไม่ยุ่งยากเลย เดี๋ยวอ๊อฟจะพาไปทำบุญกันต่อที่ด้านบนค่ะ

วันที่อ๊อฟไปเป็นวันธรรมดา คนเลยไม่ค่อยเยอะ แต่วันที่ไปมีฝนตกเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคเลย
แค่ต้องระมัดระวังในการเดินเพราะพื้นกระเบื้องบางจุดมีน้ำขังอาจจะทำให้ลื่นล้มได้ค่ะ

นอกจากมาที่นี่จะได้ทำพิธีแก้ปีชงแล้ว สถานที่ก็ยังสวยงามเหมาะแก่การถ่ายรูปมาก ๆ ถ้ามาที่นี่ห้ามพลาดเลย
ควรเก็บรูปไว้เป็นที่ระลึก เพราะยังมีมุมสวยๆ อีกมากมายค่ะขึ้นมาชั้น 2 ข้างบนจะเป็นพระอุโบสถที่ประดิษฐานพระประธาน 3 พระองค์ พระศรีศากยมุนีพุทธเจ้า
พระอมิตาภพุทธเจ้า และพระไภษัชยคุรุไวฑูรย์พุทธเจ้าเป็นพระประธานที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย

เดินมาข้างๆ ก็จะมีจุดให้ได้ทำบุญกัน เป็นการทำบุญด้วยเทียนเสริมโชคลาภ ราคา ชุดละ 100 บาทค่ะ

เทียนบูชาองค์พุทธเจ้า เฮงๆ รวยๆ ไปตลอดปีเลย

ในชุดเทียนจะมีเศษเหรียญมาให้หยอดใส่บาตรด้วยค่ะ หยอดให้ครบแล้ว จะเหลือเหรียญไว้ 2 บาท
ให้เก็บกลับบ้านเป็นขวัญถุงเพื่อสิริมงคลของชีวิตค่ะ

หลังจากทำบุญที่ชั้น 2 เสร็จ ยังเหลืออีกหนึ่งชั้น ตรงนี้ก็ถือว่าห้ามพลาดเลยมาแล้วต้องถ่ายรูปสักหน่อย

ชั้นสุดท้ายจะเป็นส่วนของโรงเรียนวัดบรมราชากาญจนาภิเษกอนุสรณ์ ด้านในจะมีวิหารที่ประดับไปด้วย
พระพุทธรูปองค์เล็กๆเต็มผนัง เป็นศิลปะที่งดงามมาก มากี่ครั้งก็ประทับใจ

หลังจากไหว้พระทำบุญเสร็จก็ถึงเวลาเดินชมความงดงาม ไม่ต้องไปถึงฮ่องกง
ที่ไทยก็มีวัดสวยๆ ไม่แพ้ประเทศใดเลย

ที่นี่เค้าเปิดให้เข้าชมทุกวัน ตั้งแต่เวลา 08.00 น.
วันจันทร์ ถึง ศุกร์ ปิด 5 โมงเย็น ส่วนเสาร์-อาทิตย์ เปิดถึง 6 โมงเย็นค่ะ

และนอกจากฮาวทูการแก้ปีชงที่อ๊อฟนำมาฝากแล้ว อ๊อฟยังทำรีวิวลิปสติกสีแดงเสริมดวงมาให้สาวๆ ด้วยค่ะ
ซึ่งนอกจากจะช่วยเสริมดวงแล้ว ยังช่วยเสริมความมั่นใจเปิดรับโชคลาภและรับพลังงานดีๆ
ซึ่งอย่างน้อยผู้หญิงเราควรมีลิปสติกสีแดงติดไว้สักแท่งสองแท่ง และอ๊อฟก็คัดโทนสีแดง
มาให้แล้วว่าเนื้อดี ทาออกมาแล้วสวยปังแน่นอนค่ะ

และแท่งแรกที่อ๊อฟแนะนำเลยคือ LIPSTICK ยี่ห้อ GIRLACTIK MATTE LIP PAINT สี ICONIC  ค่ะ
อ๊อฟซื้อมาใน IG ของ Girlactik_thailand ราคา 850 บาทค่ะ
เป็นลิปจิ้มจุ่มสีแดงสดอมส้มเล็กน้อย แต่ทาแล้วขับผิวมาก เนื้อลิปดีงามมากกก
ทาแล้วไม่แห้ง ไม่ตกร่องหรือเป็นคราบเลย ตัวนี้เชียร์สุดพลัง

มาต่อกันที่ลิปจิ้มจุ่ม The Balm Meet Matt(e) Hughes สี Adoring เป็นอีกแบรนด์ที่ชอบมากกก
สีนี้เป็นสีแดงก่ำ เป็นสีแดงเข้มที่สวยมาก แถมมีกลิ่นหอมของมิ้นต์อีกต่างหาก

เม็ดสีแน่น ปาดทีเดียวก็กลบสีปากมิด ไม่แห้งไม่แตก ไม่ตกร่องอีกเช่นเคย ราคา 950 บาทค่ะ

มาต่อกันที่ํ YSL TATOUAGE COUTURE MATTE STAIN 01 Rouge Tatouage สีแดงอมส้ม
เพิ่งรู้ว่าลิปสติกแท่งละ 1,500 บาท มันดีงามขนาดนี้ หัวแปรงคือดีมาก เป็นหัวสีเหลี่ยมเอียงๆ สลัก ysl
ดูหรูหรามาก  ปาดทีเดียวสีแจ่มชัดมาก เนื้อลิปเนียนนุ่ม ไม่แมทมากจนเกินไป ทาบางๆ จะเหมือนทาทิ้นต์
ถ้าจะให้แมทสุดๆ ต้องทา 2-3 รอบ ตัวนี้อยากให้ไปลองกันจริงๆ

มาต่อกันที่ลิปสติกจากแบรนด์ Ustar คอลเลคชั่น Minnie Wonderpop Soft Matte Liquid Lip
กันบ้าง ลิปจิ้มจุ่มราคาน่ารัก แท่งละ 199 บาท แต่คุณภาพเกินราคา

เบอร์ 05 Red Wonder เป็นสีแดงสดแบบสดจริงๆ เนื้อลิปเนียนนุ่มมาก เป็นเนื้อแมทท์แบบกำมะหยี่ที่สวยมาก
เม็ดสีแน่น ปาดทีเดียวก็กลบสีปากมิด ติดทนพอสมควร

ต่อมาเป็นแบรนด์ COSLUXE Blooming Whip Lip & Cheek สี Burgundy Daisy
ตัวนี้ทาได้ทั้งแก้มและปาก ตัวนี้เอามาทาแล้วเกลี่ยๆ ด้วยนิ้วมือจะสวยมาก

มันจะได้โทนสีเบอร์กันดี้ ออกแดงตุ่นๆ ไม่ฉูดฉาดจนเกินไป เป็นแดงโทนอุ่นๆ ที่เกลี่ยออกมาแล้วสวยดีค่ะ
สนนราคาเท่งละ 198 บาท ได้มาตอนลดราคานะคะ ถ้าจำไม่ผิด

ยังมีอีกสีของแบรนด์ Cosluxe ที่ทาออกมาแล้วน่ารักนั่นคือรุ่น Ultra Matte  Curve Lipstick สี Blood Thirsty
เป็นลิปสติกเนื้อแมทกำมะหยี่ เนื้อลิปนุ่มชุ่มชื่นทาแล้วปากไม่แห้ง ทาแล้วใช้นิ้วปาดๆ เกลี่ยๆ
แล้วสวยดีค่ะ ราคาแท่งละ 299 บาทค่ะ

สุดท้ายเป็นแบรนด์ D O K สี Chaba 05 เป็นสีแดงโทนสว่างที่ทาออกมาแล้วขับผิวมาก ทาไปช่วงตรุษจีน
มีแต่คนถาม เนื้อลิปดีเกินคาด เม็ดสีแน่นมาก เป็นแดงที่ทาออกมายังไงก็สวย ยิ่งคนผิวขาวนะสวยมากกก
เป็นสีที่คุณเมย์ พิชนาฎทาไปออกอีเวนท์ช่วงตรุษจีนที่ผ่านมา ราคาแท่งละ 450 บาท
หวังว่ารีวิวนี้จะเป็นประโยชน์นะคะ ถ้าถูกใจกดไลค์กดแชร์ให้กำลังใจอ๊อฟด้วยน้าาา แล้วพบกันใหม่ blog หน้าค่ะ
ในที่สุดอ๊อฟก็เจอโน๊ตบุ๊คที่อ๊อฟตามหามานานแล้ว ต้องบอกก่อนว่าชีวิตของ Beauty Blogger สาวอย่างอ๊อฟ
ชอบออกไปถ่ายรูปทำคอนเท้นท์ เพื่อจะเขียนรีวิว ดังนั้นนอกจากอุปกรณ์ที่ใช้ทำงานไม่ว่าจะเป็นกล้องถ่ายรูป,
เลนส์, เครื่องสำอาง ที่อ๊อฟต้องแบกออกไปทำงานแล้ว ถ้าต้องมานั่งแบกโน๊ตบุ๊คที่น้ำหนักเยอะๆ คงไม่ไหว
และนี่เป็นสาเหตุที่อ๊อฟไม่เอาโน๊ตบุ๊คที่บ้านออกมานั่งทำงานนอกบ้านเลย
ดังนั้น สิ่งแรกที่อ๊อฟมองหาในตัวโน๊ตบุ๊ค คือ “น้ำหนักเบา” พกพาง่ายหยิบใช้งานสะดวกสบาย

เมื่ออาทิตย์ที่แล้วทาง ACER ได้ส่งโน๊ตบุ๊คมาให้อ๊อฟลอง สิ่งแรกที่ตกใจคือ เปิดออกมาแล้ว
น้ำหนักเบามาก…มากแบบที่หยิบมือเดียวถือขึ้นมาได้เลย เผลอๆ เบากว่าไอแพดเครื่องเก่าอ๊อฟอีก
พอมาดูสเปคก็ต้องตกใจ เพราะน้ำหนักของเครื่องนี้แค่  0.97 Kg เท่านั้นเอง
และรุ่นที่ทางเอเซอร์ส่งมาให้อ๊อฟลองคือ

ACER SWIFT 5

เห็นน้ำหนักเบาๆ แบบนี้ หลายคนคงคิดว่าสเปคคงไม่เท่าไหร่ อย่างดีก็แค่เล่นเฟสบุ๊กหรือทำงานแบบเบาๆ
แต่ แต่ แต่ ไม่ใช่กับเครื่องนี้แน่นอนเพราะเค้าออกแบบสเปคมาให้ทำงานได้แบบจัดเต็มด้วย
CPU 8ᵗʰ Generation Intel® Core™ i7 มาพร้อมกับ Windows 10 Home (64 bit) RAM 8 GB, SSD 512 GB

 (Full HD IPS Touchscreen)
มาพร้อมหน้าจอขนาด14 นิ้ว Full HD (1920 x 1080 pixels) และที่เซอร์ไพรส์ไปกว่านั้นคือ
เป็นจอ IPS ซึ่งเหมือนจอคอมพิวเตอร์ที่บ้านอ๊อฟเลย เพราะต้องใช้ในการทำภาพ ไม่ว่าจะเป็นการแต่งภาพ
หรือทำกราฟฟิคต่างๆ นอกจากจะประหยัดไฟแล้ว ไม่ว่าจะมองมุมไหนสีแทบจะไม่ผิดเพี๊ยนเลย
แต่ข้อเสียของจอที่อ๊อฟลองใช้คือ ผิวหน้าจอเป็นแบบเงา เวลาที่เราใช้งานในที่สว่างก็จะสะท้อนแสง
ซึ่งอาจจะรบกวนการมองของเราได้นิดหน่อย
และที่เจ๋งไปกว่านั้นคือ จอสามารถกางออกได้ 180 องศา แถมยังทัชกรีนได้อีกด้วย บอกเลยว่ามันสะดวก
ในการทำงานมาก ไม่ว่าจะแก้ไขงานหรือใช้งานทั่วๆ ไป จิ้มๆ เลื่อนๆ หน้าจอตอบสนองได้ดีมาก ไม่หน่วงเลย 
คืออ๊อฟว่าเค้าออกแบบมาลงตัวมาก ปกติอ๊อฟจะไม่ค่อยใช้โน๊ตบุ๊คในการทำงาน
ชอบใช้พีซีมากกว่าเพราะเท่าที่ใช้โน๊ตบุ๊คมา มันใช้ยาก ไม่รู้คนอื่นเป็นเหมือนอ๊อฟมั้ย แต่อ๊อฟถนัดใช้พีซีมากกว่า
เวลาใช้โน๊ตบุ๊คพิมพ์ อ๊อฟรู้สึกไม่ถนัดเลยแถมยังไม่มีเมาส์มาให้อีกต้องมาเลื่อนๆ ไถๆ เอา ถ้าอยากใช้เม้าส์ก็ต้อง
พกแยกต่างหากอีก แต่ต้องเปลี่ยนความคิดเลยเพราะหลังจากลองใช้เครื่องนี้ อ๊อฟลองใช้แบบไม่มีเมาส์
ก็สามารถพิมพ์งาน ทำโน่นทำนี่ได้อย่างคล่องแคล่ว บางทีก็ตกใจตัวเองเหมือนกัน สัมผัสของปุ่มคีย์บอร์ด
ออกไปทางนุ่มๆ ที่สำคัญมีไฟใต้คีย์บอร์ดให้ด้วยเวลาที่ใช้งานในที่มีแสงสว่างน้อย

ACER SWIFT 5 ยังมีลูกเล่นที่น่าสนใจที่ช่วยให้ชีวิตของเราง่ายขึ้น นั่นก็คือ ” การสแกนนิ้วมือ ” 
เพื่อปลดล็อกเครื่อง นั่นเอง เราสามารถใช้นิ้วแทนพาสเวิร์ดได้เลยเมื่อใช้ร่วมกับ Windows 10 ของแท้
ไม่ต้องมากรอกพาสเวิร์ดให้ยุ่งยากแค่สแกนก็เข้าใช้งานได้ทันที เหมือนมือถือยังไงยังงั้น
Acer Fingerprint reader (a bio-metric authentication system that offers a quick and secure way
for Windows 10 to verification your identity, all without those darn passwords)
การเชื่อมต่อของโน๊ตบุ๊คที่มากับเครื่องนี้คือ ช่อง HDMI, USB-C และ USB 3.0 สองช่อง
สำหรับอ๊อฟคิดว่าให้ USB ที่เค้าให้มาก็พอดีกับการใช้งานทั่วไปแล้ว ช่องนึงสำหรับเมาส์ อีกช่องสำหรับ
เสียบแฟลชไดรฟ์หรือฮาร์ดดิสก์ แต่ที่อ๊อฟคิดว่าควรจะมีเพิ่มอีกช่องนึงคือ ช่อง SD CARD
เวลาที่เราถ่ายภาพจากกล้องแล้วต้องการมาลงในคอม แต่ในเครื่องนี้ไม่มีมาให้นะคะ
ดังนั้นอย่าลืมพก Card – Reader ติดตัวไว้เวลาต้องใช้งานค่ะ

จุดเด่นที่ทำให้ตัวเครื่องเบาได้ขนาดนี้ เบาแค่ 9 ขีด ก็มาจากวัสดุของเจ้าโน๊ตบุ๊คนั่นเอง
เพราะวัสดุที่ใช้เป็นแม็กนีเซียมอัลลอยที่มีความแข็งแรงมากกว่าอลูมิเนียม
แต่ผิวสัมผัสก็ไม่ได้แย่นะคะ วัสดุไม่ได้ดูก๊องแก๊ง ก็สมกับราคาอยู่
วัสดุ Mg-Li (42% lighter than aluminum alloys) & Mg-Al (32% lighter than aluminum alloys) 

**มีสองสี คือ Charcoal Blue และ Honey Gold + Core i7 และ Core i5

ส่วนเรื่องความทนของแบตเตอรี่ ทางแบรนด์เคลมไว้ว่าสามารถใช้งานได้ยาวนานถึง 8 ชม.
หลังจากที่อ๊อฟลองใช้อ๊อฟว่ามันขึ้นอยู่กับการใช้งานของแต่ละบุคคลมากกว่า สำหรับอ๊อฟไม่ค่อยได้ดู
คลิปหรือวิดิโออะไร ส่วนมากนั่งเขียนรีวิว โพสภาพ เล่นเนตไปเรื่อย ก็ใช้งานได้นานหลายชม.
ต่ำๆ ลองนั่งทำงานแล้วจับเวลาดูก็มีมากกว่า 4 ชม. โดยที่ไม่ต้องชาร์จเพิ่มเลย

เครื่องนี้ไม่มีพอร์ต LAN มาให้นะคะ ใช้ Wi-Fi เท่านั้น
ให้สัญญาณไร้สายที่แรงสม่ำเสมอด้วยเสาอากาศระบบไร้สาย 802.11ac ที่วางตำแหน่งไว้เป็นอย่างดี และ 2×2 MIMO*
MIMO (Multiple-Input and Multiple-Output) คือมาตรฐานที่ให้การเชื่อมต่อไร้สายที่เร็วขึ้น

สรุปความเห็นส่วนตัวของอ๊อฟ นอกจากมันจะเบามากถึงมากที่สุดตั้งแต่เคยจับโน๊ตบุ๊คมาแล้ว
สเปคของเครื่องถือว่าดีมากเลย ความเร็วความแรง ความลื่นไหลในการทำงาน ไม่ว่าจะเปิดใช้โปรแกรม
Lightroom แต่งภาพ ก็ Export 100 กว่ารูปภายในเวลาไม่ถึง 5 นาที ซึ่งถ้าเทียบกับที่บ้านแล้ว
เครื่องนี้เร็วกว่าเยอะเลย  ทุกอย่างในเครื่องนี้มันตอบโจทย์มาก ส่วนข้อเสียที่อ๊อฟลองใช้เวลาเปิดโปรแกรม
ทำงานพวกตัดต่อวิดิโอหรือตกแต่งภาพจะมีเสียงดัง ดังเหมือนกันนะถ้าเทียบกับโน๊ตบุ๊คที่เคยใช้มา
โดยรวมอย่างที่บอกอ๊อฟว่ามันตอบโจทย์มาก สำหรับใครที่สนใจอ๊อฟอยากให้ไปลองถือลองเล่นกันก่อน
ที่ร้านคอมพิวเตอร์ใกล้บ้าน ซึ่งจะเริ่มวางจำหน่ายเดือนมีนาคมนี้

https://www.acer.com/ac/th/TH/content/home

 

**รีวิวนี้เหมาะกับต่างประเทศที่มีอากาศที่เย็นสบายธรรมดาจนไปถึงอากาศหนาวที่ไม่ติดลบมาก
ดังนั้นถ้าติดลบมาก ควรหาเสื้อขนเป็ด หรือเลือกเสื้อผ้าที่เหมาะสมกว่านี้ค่ะ**
สวัสดีค่ะ เมื่อเดือนธันวาปีที่แล้ว อ๊อฟได้มีโอกาสเดินทางไปประเทศญี่ปุ่นซึ่งตรงกับช่วงฤดูหนาวพอดี
อากาศหนาวสุดประมาณ – 4 องศา อุ่นสุดก็ประมาณไม่เกิน 10 องศา ต้องบอกก่อนว่าอ๊อฟไม่ชอบอากาศหนาว
เอาซะเลยเลย เพราะอ๊อฟเป็นคนที่ขี้หนาวมากแค่แอร์ 24 องศาก็หนาวแล้ว แค่อาบน้ำออกมาโดนแอร์
ในห้องนอนยังตัวสั่นเป็นลูกนกเลย ดังนั้นเลยจะต้องเตรียมตัวมากกว่าคนอื่น ซึ่งการซื้อเสื้อผ้าแต่ละที
ก็ใช้เงินไม่น้อยวันนี้อ๊อฟเลยจะมาแนะนำว่าอะไรที่ควรมี อะไรที่ต้องซื้อใส่ไปผจญความหนาว
โดยใช้งบไม่เยอะ แต่ใส่แล้วออกมาสวยไม่อ้วนตุ๊ต๊ะเป็นหมี

(เครดิตรูปภาพจากยูนิโคล่)

1. เสื้อ Heattech  แน่นอนสิ่งแรกที่เราต้องมีไม่มีไม่ได้ อ๊อฟเลือกใส่ยี่ห้อ ของ Uniqlo 

Heattech รุ่น Extra warm ราคาตอนนี้น่าจะ 590 บาท เป็นฮีทเทคบางๆไม่หนามาก

อ๊อฟซื้อใส่แค่ตัวเดียวค่ะ แต่ถ้าใครหนาวจะใส่ซ้อนกันสองสามชั้นก็ได้

เสื้อฮีทเทคจะช่วยกักเก็บความอุ่นของร่างกาย

 เมื่อข้างในตัวอุ่นก็ใช้ชีวิตง่ายขึ้น แต่ตอนนี้เค้ามีรุ่น Ultra warm ออกมา

ซึ่งเหมาะกับคนที่ขี้หนาวเป็นพิเศษ ใครหนาวมากจัดตัวนี้ไปเลย

เคล็ดลับควรใส่ไซส์ให้พอดีกับตัว ไม่ควรเลือกไซส์ใหญ่กว่า ยิ่งแนบลำตัวมากเท่าไหร่ยิ่งอุ่นเท่านั้น

(เครดิตรูปภาพจากยูนิโคล่)

2. เสื้อไหมพรมหรือสเวตเตอร์ เราจะใส่ทับฮีทเทคค่ะ เลือกแบบทอลายแน่นๆ หน่อย ยิ่งแน่นยิ่งทำให้ลม

ผ่านเข้าไปยากและแบบที่ควรเลือกคือคอปีนหรือคอเต่า แต่อ๊อฟเลือกเสื้อฮีทเทคฟรีซของยูนิโคล่มาค่ะ

ในรูปจะเห็นว่าอ๊อฟใส่ฮีทเทคฟลีชสีขาว ซึ่งอ๊อฟคิดว่ามันดีกว่าเสื้อไหมพรมเพราะมันสามารถกันลม

และกันอากาศหนาวได้ระดับนึงเลยทีเดียวค่ะ อ๊อฟเลือกสีขาวกับดำมาใส่สลับกันไป

ราคาตัวละประมาณ 290 บาท ถือว่าไม่แพงเลย ถ้าเทียบกับซื้อพวกเสื้อไหมพรมแบบแฟชั่น

3. กางเกงสกินนี่กันหนาว  อ๊อฟซื้อของแบรนด์ coatover ค่ะ ซึ่งเป็นผ้ายืดใส่สบายมาก
คุณสมบัติเค้าบอกมาว่าใส่ได้ถึงอุณหภูมิติดลบ 10 องศา อ๊อฟซื้อมาหลายปีแล้ว
เลือกสีดำมากับสีขาวเพราะใส่เข้าง่ายกับทุกชุด mix & match ใส่ไปได้ตลอด
ใส่ไปเกาหลีตอนติดลบเมื่อ 3 ปีที่แล้วก็ยังเอาอยู่ แค่อย่าให้อ้วนกว่าเดิมก็พอ 555
ราคาแรงไปนิดแต่ลงทุนครั้งแรกแล้วก็ควรเก็บรักษาดีๆ ค่ะ อ๊อฟซื้อมา 1,190 บาท

ส่วนใครไม่ชอบใส่พวกสกินนี่กลัวจะอุ่นไม่พอ ใส่กางเกงฮีทเทคแทนก็ได้เหมือนกันค่ะ

4. รองเท้าบูทยาว อ๊อฟเลือกซื้อแบรนด์ Coatover ที่อ๊อฟเลือกแบบยาวถึงเข่ามา
เพราะมันจะช่วยกันลมกันอากาศเย็นได้อีกทางหนึ่ง ทำให้หน้าขาอุ่น แต่ถ้ามีงบซื้อเป็นบูทหนังที่กันหิมะ
ได้จะดีกว่าค่ะ นอกจากจะเดินสบายไม่ต้องกลัวลื่นแล้ว ยังไม่ต้องกลัวว่าเวลาหิมะละลายหรืออากศชื้นๆ
จะเปียกหรือซึมเข้าไปข้างในรองเท้า ส่วนของอ๊อฟเลือกเป็นแบบผ้าเพราะอ๊อฟไม่ได้ไปลุยหิมะ
ดังนั้นไม่ต้องกังวลว่ารองเท้าจะเปียกค่ะ ขอแค่เท้าอุ่น ใส่เดินสบายไม่เมื่อยก็พอ
และยี่ห้อที่เลือกมาก็เป็นแบบมีส้นเพราะเราเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ เล็กนะคะ
ไม่ใช่เตี้ย 555 ดังนั้นใส่บูทมีส้นจะช่วยให้ดูสูงเพรียวมากขึ้น แนะนำแบบส้นเตารีด
จะใส่เดินได้สะดวกสบาย อ๊อฟซื้อมา 2-3 ปีที่แล้ว ราคา 1,590 บาท
ใส่เดินทั้งทริปก็ยังไม่เจ็บขา อาจจะมีเมื่อยนิดหน่อยเท่านั้นเอง

5. เสื้อโค้ท เมื่อตอนไปต่างประเทศครั้งแรกอ๊อฟซื้อพวกเสื้อโค้ทวูลมา 4-5 ตัว
แบบใส่ไม่ซ้ำกันทุกวัน ราคาก็แน่นอยู่ ตัวละสองพันกว่า พันกว่าๆก็มี แต่ไม่เคยต่ำกว่าพันเลย
ซื้อหมดทีก็เป็นหมื่นเอามาขายก็ได้ราคาน้อยไม่คุ้มกันอีก ดังนั้นมาคิดดูแล้ว อ๊อฟเลยเลือกจะซื้อ
มือสองเอาค่ะ ตัวนึงไม่เกิน 500 บาท บางตัวอ๊อฟซื้อมา 300 ก็มี ใส่เสร็จขายต่อในไอจีได้อีก
เอาเงินไปซื้อตัวใหม่ใส่ทริปต่อไป เพราะอ๊อฟไม่ค่อยใส่เสื้อผ้าซ้ำ เวลาถ่ายรูปจะได้ออกมาสวยเนอะ
และที่อ๊อฟใส่อยู่ทั้งทริปก็เป็นโค้ทมือสองทั้งนั้นเลยค่ะ แหล่งซื้ออ๊อฟจะซื้อในไอจีค่ะ
เพราะเป็นคนซื้อเสื้อผ้าทางอินเตอร์เนตบ่อยมาก แต่ถ้าใครกลัวจะใส่ไม่ได้อ๊อฟแนะนำว่าไปซื้อ
ที่ธัญญาพาร์คศรีนครินทร์เลยค่ะ ตรงชั้นที่ทำ passport ลงมาจะมีร้านขายเสื้อกันหนาว
อุปกรณ์กันหนาวมือหนึ่งมือสองสภาพดีเยอะมาก ราคาไม่แพงอีกด้วย
อ๊อฟไปดูแล้วบางตัวนี่ยังใหม่เลย ทำความสะอาดเรียบร้อย ซื้อมือสองยังคุ้มกว่าเช่าอีก
เพราะคำนวณแล้วถ้าเช่าแบบสวยๆ อ๊อฟเคยหาข้อมูลเช็คราคาตัวนึงก็ปาไป 1,000 บาทแล้ว
5 ตัว ก็ 5,000 บาทแหนะ อ๊อฟเลยคิดว่าซื้อมือสองคุ้มกว่าค่ะ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องคนที่รับได้ด้วยนะคะ
บางคนอาจจะไม่ชอบใส่เสื้อผ้ามือสอง ส่วนอ๊อฟเลือกเป็นบางอย่างค่ะ ไม่ค่อยถือ

(เครดิตรูปภาพจากกูเกิ้ล)

6. ถุงทรายร้อน อันนี้คือดีมาก อ๊อฟใช้ขยำในกระเป๋าเสื้อโค้ทแทบตลอดเวลา มันช่วยได้มากจริงๆ
ตอนที่เรายกมือออกมาถ่ายรูป มือนี่แข็งกดชัตเตอร์แทบไม่ลง นึกว่ามือหายไปแล้ว
ถุงทรายร้อนแบบนี้ช่วยได้มาก ถ้าหนาวตรงไหนก็หยิบขึ้นมาอังจะช่วยให้รู้สึกอุ่นได้ ถุงนึงอยู่ได้ตั้งหลายชม.
ราคาต่อถุง ถุงละ 30 บาทไทย อ๊อฟไปซื้อที่โน่นเอาค่ะ บางคนถามว่าแผ่นแปะๆ ที่ขายตาม 7 ช่วยได้มั้ย
สำหรับอ๊อฟ อ๊อฟว่าแทบไม่ได้ใช้เลย เพราะ ในตัวเรามันอุ่นอยู่แล้วจากเสื้อผ้าที่เราใส่มา
จะมีแต่พวกตรงศีรษะ หู จมูก แขน ขา เท้า เท่านั้นที่เวลาลมปะทะมายังคงเย็นอยู่

 

(เครดิตรูปภาพจากยูนิโคล่)

7. ถุงเท้าฮีทเทค สำหรับอ๊อฟคิดว่าสำคัญ เพราะนอกจากจะช่วยให้อุ่นแล้ว ยังไม่เก็บเหงื่ออีกด้วย
ไม่ชื้น ไม่เหม็น ซื้อคู่เดียวใส่ไปทั้งทริปเลย 555 (อย่าบอกใครไปเนอะ)

8. หมวก ที่ปิดหู ถุงมือ หน้ากาก ผ้าพันคอ อันนี้ก็สำคัญค่ะ ควรมีติดไว้เอาไว้
ตอนอ๊อฟไปเดินดูไฟตอนกลางคืน ทรมานมาก ตัวมันอุ่นแต่หนาวหน้ามาก หน้าชาไปหมด
แค่ถอดออกมาถ่ายรูป จมูกยังแดง ตาฉ่ำไปหมด ยิ่งเวลาลมปะทะมานะ อยากตะโกนดังๆ ว่า ไม่ไหวแล้วโว๊ยยย
ส่วนใครที่ไม่มีหน้ากากหรือผ้าปิดจมูกจริงๆ ก็เอาผ้าพันคอนี่แหละมาพันคอให้ปิดไปถึงปากหรือจมูกก็ได้ค่ะ
ช่วยได้เยอะเหมือนกัน แถมยังพันได้หลายแบบอีกด้วย หวังว่ารีวิวนี้จะเป็นประโยชน์แก่สาวๆ ไม่มากก็น้อย
แล้วพบกันใหม่ blog หน้าน้าาาา

 

 

 

มาค่ะ วันนี้อ๊อฟจะพาไปเที่ยว กิน ชอปกับเทศกาลอาหาร ของกินริมน้ำ ที่ทางเซ็นทรัลชิดลม
เค้าจัดงานออกมาได้ถึงความเป็นไทย แถมภายในงานยังรวบรวมเอาร้านเด็ดร้านดังคัดเอามาไว้ที่นี่ด้วย
ซึ่งงานนี้เซ็นทรัลชิดลมเค้าจับมือกับตลาดดีไซน์ ที่รวบรวมเอาอาหารจากทุกภาคกว่า 200 ร้าน
และยังมีสินค้าสไตล์ไทยๆ ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าหรือเครื่องประดับอีกมากมาย นอกจากนั้นยังมี
หนังกลางแปลงมาให้ดูอีกด้วย ฉายวันละ 3 เรื่องเชียวน้าาา และยังมีการแสดงแบบไทยๆ
หมุนเวียนเปลี่ยนกันไป ตั้งแต่เมื่อวานถึงวันที่ 4 กุมภานี้เท่านั้น
ตั้งแต่เวลา 11:00 – 21:00 ณ ลานมรกต เซ็นทรัลชิดลม 
สวัสดีค่ะ หลังจากสองปีที่แล้ว อ๊อฟได้รีวิวการเปลี่ยนสีผนังให้กลายเป็นสไตล์ LOFT ด้วยสี NIPPON PAINT
สีโมเมนโต้ สเปเชียล เอฟเฟ็คต์ ได้รับการตอบรับดีมาก ซึ่งตอนนั้นที่รีวิวขั้นตอนการทำก็ไม่ยากเท่าไหร่
แต่ตอนนี้จะบอกว่าง่ายกว่าเดิมอีก ง่ายที่แบบว่าผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่างเราก็เปลี่ยนผนังจืดๆ ให้กลายเป็น
ปูนเปลือยได้โดยไม่ต้องง้อช่างเลย แต่ก่อนจะไปดูวิธีทำไปทำความรู้จักกับผลิตภัณฑ์กันก่อนเลยค่ะ
บางคนอาจจะงงว่า สีลอฟท์ คืออะไร จริงๆ มันคือสีสร้างลวดลายคล้ายๆปูนเปลือย
ที่สมัยนี้เค้านิยมทำกันเพราะมันมีไม่เหมือนใคร แถมทาเองได้ง่ายๆ โดยที่ไม่ต้องเสียเงินเยอะอีกด้วย

นวัตกรรมสีเพื่อคนรักปูนเปลือย “นิปปอนเพนต์ โมเมนโต้ ลอฟท์”
ช่วยให้ประหยัดทั้งเวลาและค่าใช้จ่าย ด้วยวิธีที่ง่ายกว่า เพียงแค่ 3 ขั้นตอน

1. ทาสีรองพื้น

2. จุ่มสีแล้วปัดให้ทั่วผนัง

3. เก็บรายละเอียดของลวดลายตามชอบ
มีทั้งหมด 3 เฉดสีด้วยกันทาออกมาจะเป็นสีแบบปูนเปลือยเลย ได้สไตล์ดิบๆ
(เครดิตภาพ  chart สีจากบ้านและสวน)

ML 001 SOFT GREY  สีเทาอ่อน
ML 002 STREET GREY สีเทากลาง
ML 003 SHADOW GREY สีเทาเข้ม
1. สีรองพื้น โมเมนโต้ ลอฟท์ ขนาด 1 ลิตร ทาได้ 10 ตร.ม. ราคา 390 บาท
2. สีโมเมนโต้ ลอฟท์ ขนาด 1 ลิตร ทาได้ 18-20 ตร.ม. ราคา 1,050 บาท
before

ขั้นตอนที่ 1 เตรียมทำความสะอาดผนังหรือพื้นผิว

ขั้นตอนนี้คือ การทำความสะอาดผนังเพื่อไม่ให้มีพวกเศษฝุ่นหรือคราบสกปรก อ๊อฟไม่ได้ทำอะไรมาก
แค่เช็ดๆ ปัดฝุ่นให้ผนังดูสะอาดตา ผนังเดิมของอ๊อฟไม่เรียบอยู่แล้ว แต่อ๊อฟไม่ได้ซีเรียสค่ะ เพราะสไตล์
ปูนเปลือยก็ต้องดิบๆ แบบนี้แหละ แต่สำหรับใครที่ต้องการความเนี๊ยบจะใช้กระดาษทรายขัดก็ได้ค่ะ

ขั้นตอนที่ 2 ลงสีรองพื้น Nippon Paint Momento Loft Primer

หลังจากทำความสะอาดผนังเสร็จเรียบร้อยแล้ว สีเดิมของผนังที่ห้องอ๊อฟจะออกสีส้มเล็กน้อย
ถามว่าทาเลยโดยไม่ลงรองพื้นได้มั้ย ได้เหมือนกันค่ะ แต่สีที่ออกมาจะไม่เป๊ะเหมือนในกระป๋องที่เราเลือกไว้
ดังนั้นเราควรลงสีรองพื้นเพื่อปรับสีของผนังกันก่อนค่ะ ขั้นตอนนี้ใช้ลูกกลิ้งทาสีเหมือนกับการทาสีทั่วๆ ไป
ลูกกลิ้งทาสีกับถาดสีอ๊อฟซื้อแถวโฮมโปรแถวบ้านค่ะ ราคาก็ไม่เท่าไหร่ ทั้งหมดไม่เกิน 200 บาท
ก่อนจะทาสีต้องเอาเทปกาวมาติดรอบๆ ขอบผนังที่เราไม่ต้องการให้โดน เช่น ขอบบัว และอย่าลืมปูกระดาษ
หนังสือพิมพ์ที่พื้นด้วยนะคะจะได้ไม่เลอะเทอะเปรอะเปลื้อนไปรอบๆ ผนังหรือที่พื้น
แต่ส่วนตัวอ๊อฟไม่ได้ปูที่พื้นเพราะสีตัวนี้เช็ดออกง่ายมาก  หกก็ใช้แฟนเช็ด 555

หลังจากทาสีรองพื้นเรียบร้อยแล้วก็ทิ้งไว้สัก 1 ชม . อ๊อฟก็ออกไปหาข้าวทาน จะบอกว่าทั้งหมดนี่
ทำคนเดียวเลยนะ สบายมาก พอครบชั่วโมง ก็เข้ามาเช็คความแห้งของผนัง ว่าแห้งเรียบร้อยดีมั้ย

ขั้นที่ 3 เปลี่ยนผนังจืดๆ ให้เป็นปูนเปลือยด้วย Nippon Paint Momento Loft

หลังจากผนังแห้งแล้ว คราวนี้แหละเราจะมาละเลงสีกัน

ทางแบรนด์บอกว่า ” ถ้าทาแยมขนมปังได้ ก็สามารถทาสีสไตล์ลอฟท์ได้ “

 ใช้สี นิปปอนเพ้นต์ โมเมนโต้ ลอฟท์ เปลี่ยนผนังให้เป็นปูนเปลือยตามใจชอบ

โดยใช้แค่ฟองน้ำ ฟังไม่ผิดค่ะ จะทำสไตล์ลอฟท์แต่ใช้แค่ “ฟองน้ำ” อันเดียว

ตอนทาไม่ต้องคิดอะไรมาก จุ่มฟองน้ำในสี ไม่ต้องจุ่มเยอะ จุ่มแล้วปาดตรงขอบกระป๋อง แล้วมาป้ายๆ
ปาดๆ ที่ผนังเริ่มจากปาดเล็กๆ ก่อนก็ได้ค่ะ ถ้าไม่มั่นใจ จะปาดแบบไหนก็ไม่ผิดสไตล์ใครสไตล์มัน
อ๊อฟไม่มีแบบแผนรอบแรกเริ่มจากตรงกลางด้วยซ้ำ ลากๆ ปาดไปปาดมาให้ทั่ว รอบแรกสีที่ได้ก็จะบางๆ

รอสีแห้งไม่นานสัก 10 – 15 นาที ก็ทำเหมือนเดิมค่ะ ใช้ฟองน้ำปาดสีไปมา ตรงไหนเข้มก็ไม่ต้องซ้ำมาก
ตรงไหนอ่อนก็ทาเพิ่มเข้าไป  ระวังรอยเชื่อม รอยต่อของสีเวลาที่เราจะทา เพราะทาทับมากไปมันจะเข้ม
เห็นเป็นรอยต่อชัด เอาเป็นว่าสไตล์แบบนี้มันต้องไม่เท่ากันอยู่แล้ว ไม่ต้องคิดมากค่ะ

ข้อดีของการทาสีตัวนี้คือ “ไม่มีกลิ่นเหม็น” จึงไม่ต้องใส่หน้ากาก ทาสีแบบสบายๆ ชิลๆ
อ๊อฟใช้เบอร์ ML 002 STREET GREY สีเทากลาง เบอร์นี้อ๊อฟว่ากำลังสวยเพราะไม่อ่อนจนเกินไป
และไม่เข้มจนเกินไป ถ้าเราอยากให้เข้มก็ทาสองสามรอบได้ หรือมากกว่านั้น
รอบสองอ๊อฟก็ยังคิดว่ามันยังบางไป เลยมาจบที่รอบ 3 จะบอกว่าปวดข้อมือมากเพราะกระดกข้อมือตลอดเวลา
และที่สำคัญจะบอกว่าทั้งหมดนี่ทำคนเดียวด้วยนะ ไม่ให้ใครยุ่งเลย กลัวว่าจะทำออกมาไม่เหมือนกัน
ดังนั้นสำหรับอ๊อฟแนะนำว่าทาคนเดียวจะดีกว่า เพราะจะรู้น้ำหนักมือตัวเอง หนักเบาและทิศทางการปาด
ว่าจะออกมาสไตล์ไหน ปาดสั้นปาดยาว ปาดซ้าย ปาดขวา หรือปาดทับไปทับมาเป็นรูปตัว X
after
หลังจากที่รอบ 3 เสร็จ อ๊อฟก็จะเดินถอยออกมาเช็คว่ามีตรงไหนที่มันกระดำกระด่างไม่เท่ากัน
จนมองแล้วรู้สึกว่าขัดหูขัดตาหรือมันยังไม่เป๊ะ ก็จะไปนั่งเก็บงานอีกรอบ เก็บไปเก็บมา
เติมตรงนั้นที เติมตรงโน้นที ก็ได้ออกมาผลงานเป็นที่พอใจ

finish
และจากผนังเดิมๆ ก็เปลี่ยนมาเป็นสไตล Loft ใครบอกต้องจ้างช่างมาทำ ไม่จริ๊งงง ทำเองก็ได้
และใครที่กำลังอยากเปลี่ยนผนังเป็นแบบปูนเปลือย “ดิบ เท่ ง่าย สไตล์ โมเมนโต้ ลอฟท์”
ไปค่ะ โฮมโปรทุกสาขาใกล้บ้าน

WEBSITE

FACEBOOK

 

 

 

 

 

 

 

 

 

สาวๆ เคยเป็นมั้ยคะ เวลาที่เราเป็นประจำเดือนแล้วทำให้เรามีข้อจำกัดให้ไม่สามารถทำอะไรอย่างที่เราต้องการ
ทำได้ เช่น ว่ายน้ำ , โยคะ หรือทำกิจกรรมลุยๆ แต่สำหรับอ๊อฟไม่มีปัญหาเลยค่ะเพราะเราได้ผ่านจุดนั้นมาแล้ว
แต่กว่าจะผ่านจุดนั้นมา ก็เล่นเอาเหงื่อตก ถอดใจไปหลายวันเลยทีเดียว

วันนี้เลยมาขอเล่าประสบการณ์การใส่ผ้าอนามัยแบบสอดของอ๊อฟให้อ่านกัน อ๊อฟเคยได้ยินว่ามีผ้าอนามัย
แบบสอดมานานมากแล้ว แต่เอาจริงๆ ตอนนั้นไม่รู้ว่าเค้าใช้ทำอะไร เลยไม่ได้สนใจ เวลาที่มีประจำเดือน
หรือต้องทำกิจกรรมลุยๆ ก็จะอดทำทุกที มีอยู่วันนึงไปทะเลกับเพื่อนแล้วดันแจคพอตเมนส์มาพอดี
หมดกันชุดว่ายน้ำที่เตรียมมา เลยได้แต่ทำหน้าหงอยๆ นอนเล่นมือถือไป จนเพื่อนเข้ามาทักและถามว่า
ทำไมไม่ไปเล่นน้ำ อ๊อฟก็ตอบว่าเป็นเมนส์เค้าลงน้ำได้ที่ไหนล่ะ ขืนลงไปเลือดนองเต็มทะเลพอดี 55
พอเพื่อนได้ยินคำตอบก็สวนกลับมาว่าแกเป็น blogger ภาษาอะไรวะ ไม่รู้จักผ้าอนามัยแบบสอด
ผ้าอนามัยแบบสอดเค้าใส่แล้วว่ายน้ำได้ย่ะ พอได้ยินอ๊อฟก็ตกใจ ไอผ้าอนามัยแบบสอดอะรู้เคยได้ยินชื่อ
แต่ไม่รู้ว่ามันทำแบบนั้นได้ด้วยหรอ ไม่รอช้าเลยขอของเพื่อนไปใส่โดยที่ไม่รู้เลยว่ามันใส่ยังไง

หน้าตามันก็เป็นแบบแท่งเล็กๆ นิดเดียว ตอนนั้นคิดแค่ว่ามันจะใส่เข้าไปได้ยังไง ได้แต่อ่านวิธีหลังกล่อง
เค้าบอกว่าอย่าเกร็งให้ทำตัวสบายๆ จะทำให้ใส่ง่าย นี่เปิดเพลงเลยจ้า เพลงมาขนาดนี้ผ่อนคลายแน่นอน
สรุปว่ายัดไม่เข้า 555 ยัดไปนิดเดียวก็หลุดออกมา ไม่ว่าจะนั่งยองๆ ก็แล้วยกขาพาดชักโครกก็แล้ว
ออกมานอนใส่ก็แล้วไม่สามารถใส่เองได้เลย ไม่สามารถทนดูภาพเหล่านั้นของตัวเองได้เลยถอดใจไปก่อน
หลังจากนั้นก็กลับหาข้อมูลของผ้าอนามัยแบบสอด เค้าบอกว่าต้องเลือกแบบที่มี ” เครื่องช่วยสอด “
จะทำให้ใส่ง่าย มือใหม่ก็ใส่ได้ พอลองแบบที่มีเครื่องช่วยสอดก็ใส่ได้ง่ายจริงๆ ไม่ยากอย่างที่คิดเลย
หลังจากนั้นก็ใช้มาตลอดเพราะรู้สึกว่าใส่แล้วสบายเหมือนไม่ได้ใส่ มันคล่องตัว จะลุกจะเดิน กระโดด
หรือออกกำลังกายก็ไม่ต้องระวังว่าผ้าอนามัยจะขยับมั้ย จะเลอะเทอะเปอะเปื้อนหรือเปล่า
เวลาแต่งตัวไปงานก็ไม่ต้องกลัวว่าจะเห็นรอยหรือขอบของผ้าอนามัยเวลาใส่แผ่นยาวๆ

สำหรับใครยังไม่เคยลองและกำลังคิดจะลอง วันนี้อ๊อฟมีผ้าอนามัยแบบสอดมาแนะนำค่ะ Tamme’
ผ้าอนามัยแบบสอดแทมเม่ เป็นผ้าอนามัยแบบสอดที่ใช้ซึมซับประจำเดือนโดยการสอดเข้าไปในช่องคลอด
ออกแบบมาสำหรับมือใหม่และสาวเอเซียโดยเฉพาะ มาพร้อมกับแอปลิเกเตอร์อุปกรณ์ช่วยสอดใส่

มีให้เลือก 3 ขนาดด้วยกันคือ 3 ขนาดที่ว่านี้ไม่ใช่ไซส์ของน้องสาวเรานะคะ อย่าเข้าใจผิด รู้นะคิดอะไรอยู่
3 ไซส์ที่ว่านี้หมายถึงปริมาณของประจำเดือนของเราค่ะ แหมๆๆ คิดไปไกลเลย
MINI SIZE  สำหรับวันมาน้อย (1 กล่อง 16 ชิ้น ราคา 184 บาทไม่รวมค่าจัดส่ง)
REGULAR SIZE สำหรับวันมาปกติ (1 กล่อง 16 ชิ้น ราคา 184 บาทไม่รวมค่าจัดส่ง)
SUPER SIZE สำหรับวันมามาก (1 กล่อง 16 ชิ้น ราคา 184 บาทไม่รวมค่าจัดส่ง)
จริงๆ มันก็เหมือนกับผ้าอนามัยทั่วไปที่มีแบบสำหรับกลางวัน มาน้อยมาปกติ
หรือแบบกลางคืนมามาก อย่างที่เราเห็นๆ กันในท้องตลาดหรือร้านสะดวกซื้อทั่วไป

ลักษณะหน้าตาของผ้าอนามัยแบบสอดที่มีเครื่องช่วยสอด หน้าตามันก็จะเป็นแบบนี้
เป็นแท่งพลาสติกที่มีผ้าอนามัยอยู่ข้างใน ขนาดก็ไม่ได้ใหญ่อะไรมากมาย ไม่ต้องตกใจกลัวไปค่ะ
ใช้ง่าย ใส่ง่ายเพราะตัวแท่งพลาสติกจะลื่นเลยทำให้ใส่เข้าไปได้ง่ายกว่าแบบที่ไม่มีเครื่องช่วยสอด

ตัวผ้าอนามัยด้านในแท่งสอดหน้าตาก็จะเป็นแบบนี้ค่ะ อ๊อฟแนะนำว่าควรเลือกให้เหมาะสมกับวันนั้นของเดือน
เช่นมาน้อยก็เลือกใช้แบบน้อย มามากก็ใช้แบบมาก ส่วนตัวอ๊อฟก็ใช้สลับไปมาทุกไซส์ ถ้าวันแรกก็จะใช้แบบ
มาปกติ REGULAR SIZE พอวันที่ 2 -3 ก็จะใช้แบบ SUPER SIZE เพราะประจำเดือนเริ่มมาเยอะแล้ว
หลังจากนั้นก็จะเปลี่ยนกลับมาใช้ไซส์ MINI SIZE เพราะประจำเดือนใกล้จะหมด
ผ้าอนามัยแบบสอดหรือแผ่นเหมือนกันคือควรเปลี่ยนทุกๆ 4 – 6 ชม. เพื่อความสะอาดและไม่อับชื้นค่ะ
ส่วนใครยังนึกภาพวิธีใส่ไม่ออก อ๊อฟมีวิธีใส่มาบอกกันค่ะ

1.ก่อนใส่ทุกครั้งล้างมือให้สะอาดนะคะ นั่งท่าที่สบายๆ ไม่ต้องเกร็งหรือเครียดแล้วแยกขาออกค่ะ
2. ใช้มืออีกข้างหนึ่งเปิดช่องอวัยวะเพศ หันปลายหลอดให้ตรงกับปากช่องคลอด หายใจออกเบาๆ
เป่าปากนิดๆ ก็ได้ค่ะ และใส่อุปกรณ์ช่วยสอดเข้าไปในช่องคลอดจนถึงบริเวณโคนหลอด
ทริคการใส่ของอ๊อฟคือ ใส่ให้ลึกไปประมาณนึง แต่ไม่ต้องลึกมากนะคะ เอาเป็นว่าใส่ไปแล้วความรู้สึกมันจะบอก
3. ดันส่วนก้านหลอดเพื่อส่งให้ผ้าอนามัยเข้าไปในช่องคลอดจนถึงปากมดลูก
ถ้าใส่แล้วรู้สึกไม่สบายแสดงว่าอาจจะใส่ผ้าอนามัยผิดตำแหน่ง ให้ดึงออกแล้วสอดใหม่อีกครั้งค่ะ
4. วิธีถอดนั่งแยกขาในท่าสบายๆ บนชักโครกหรือจะนั่งยองๆ ก็แล้วแต่ความถนัดค่ะ แล้วดึงเชือกออกมา
เคล็ดลับ ถ้านั่งยองๆ แล้วเบ่งไปด้วย ตอนดึงเชือกจะดึงได้ง่ายกว่าปกติค่ะ

เป็นยังไงคะ ผ้าอนามัยแบบสอดไม่น่ากลัวและใส่ยากอย่างที่คิดเลย ส่วนตัวแล้วอ๊อฟชอบนะ
เพราะมันสามารถทำอะไรที่อยากทำได้ไม่ต้องมานั่งกังวลพอถึงวันนั้นของเดือนจะทำอะไรไม่ได้
กลายเป็นว่า เป็นวันนั้นทีไรก็ต้องหยิบแบบสอดมาใช้ทุกที สำหรับสาวๆ ที่สนใจผลิตภัณฑ์ของ
Tamme’ ผ้าอนามัยแบบสอดแทมเม่ ตอนนี้มีวางจำหน่ายทางออนไลน์แล้วนะคะ
สามารถเข้าไปดูรายละเอียดได้ที่แฟนเพจหรือเวปไซต์ตามลิงก์ข้างล่างได้เลยค่ะ
FACEBOOKTAMME
WEBSITE

 

TAMME

 

สวัสดีค่ะ วันนี้อ๊อฟจะมารีวิวนมอัลมอนด์ยี่ห้อต่างๆ ที่อ๊อฟทานอยู่ ซึ่งอย่างที่รู้ว่านมอัลมอนด์นั้นกำลังเป็นที่นิยม
ในหมู่คนที่ดูแลสุขภาพ และยังเหมาะกับคนที่กำลังลดหรือควบคุมน้ำหนักเพราะเค้าแคลลอรี่ไม่เยอะ
แถมยังเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับคนที่แพ้นมวัวอีกด้วย
ประโยชน์ของนมอัลมอนด์นั้นมีเยอะแยะมากมาย เพราะเค้าอุดมไปด้วยวิตามิน แร่ธาตุและไขมันดีที่มีประโยชน์
ต่อร่างกาย แถมยังช่วยลดน้ำหนักได้อีก จะทานก่อนหรือหลังออกกำลังกายก็ยังได้ นอกจากจะช่วยบำรุง
ร่างกายแล้วยังช่วยบำรุงผิวพรรณเพราะเค้ามีทั้งวิตามิน B,D และ E
บอกประโยชน์ไปก็คงไม่หมดเอาเป็นว่าประโยชน์มันเยอะมากกกก
เอาเป็นว่ามาดูกันว่ายี่ห้อไหนทานแล้วอร่อยบ้าง
มาเริ่มกันที่ยี่ห้อแรก 137degrees ซึ่งยี่ห้อนี้เป็นยี่ห้อแรกที่อ๊อฟเริ่มทานเลย ไปเห็นมาที่ LAWSON แถวบ้าน
กล่องน่ารักดีไม่เล็กไม่ใหญ่จนเกินไป จับสะดวก มีให้เลือกหลายรส ซึ่งราคาจะสูงกว่าอีกสองยี่ห้อที่อ๊อฟทานมา
รู้สึกกล่องละ 20 กว่าบาท แต่ละรสราคาไม่เท่ากัน จุดเด่นที่ทางแบรนด์บอก เค้าบอกว่าใช้ถัวเมล็ดเต็มจริง
มาคั้นสด 100% เท่านั้น ใช้ถั่วในปริมาณมากกว่า ไม่ผสมถั่วเหลือง นมวัวหรือน้ำตาลทราย ที่สำคัญโซเดียมต่ำ

137degrees Almond Milk original unsweetened (รสดั้งเดิมไม่หวาน) 60 แคล

ถ้าใครยังไม่เคยกินนมอัลมอนด์ก็จะรู้สึกแปลกๆ หน่อย เพราะมันจะไม่เหมือนนมวัวหรือนมถั่วเหลืองเลย สัมผัสแรกที่จะได้รับคือกลิ่นหอมๆ จากอัลมอนด์ ความเข้มข้นของนม รสนี้ปราบเซียนมากเพราะมันไม่หวานเอาซะเลย ถ้าใครเริ่มทานนมอัลมอนด์ครั้งแรก  ไม่แนะนำแบบไม่หวานค่า เพราะถ้าไม่เกลียดไปเลยก็อาจจะชอบไปเลยเหมือนกัน

137degrees Pistachio Milk sweetness from organic coconut flower nectar(นมพิสตาชิโอ) 60 แคล

ต่อมาเป็นนมพิสตาชิโอ ตัวนี้จะรสชาติหวานน้อยเพราะเค้ามีความหวานจากเกสรดอกมะพร้าว ถึงจะหวานแต่ไม่ได้หวานมาก จะหวานแบบจางๆ มีกลิ่นหอม ทานง่ายหน่อย ตัวนี้อร่อยเลยสำหรับอ๊อฟ

137degrees belgian Chocolate with Pistachio Milk(นมพิสตาชิโอรสช็อคโกแลต) 70 แคล

ตัวนี้เป็นนมพิสตาชิโอสูตรเบลเยี่ยมช็อกโกแลต ซึ่งช็อคโกแลตเป็นแบบเข้มข้นมากกก กินครั้งแรกถึงกับสะอึกเลย เพราะมันออกขมๆ จืดๆ แถมไม่อร่อยเลยสักนิด ต้องขออภัยคนที่ชอบช็อคโกแลตด้วย ตัวนี้อ๊อฟว่าไม่ผ่านเลย 555

137degrees Walnut Milk sweetness from organic coconut flower nectar(นมวอลนัทหวานน้อย) 60 แคล

สุดท้ายเป็นนมวอลนัท กลิ่นก็จะหอมๆ และหวานน้อยเช่นเคย แต่ทำไมอ๊อฟรู้สึกว่านมวอลนัทตัวนี้จืดกว่านมพิสตาชิโอ แต่ก็ยังโอเคกว่ารสช็อคโกแลตละกัน ทานได้หมดกล่อง

ปกติทานแต่อัลมอนด์ของ Blue Diamond พอเค้าทำนมอัลมอนด์ออกมาก็ไม่รอช้าที่จะลอง เค้าวางขายที่ 7/11
ราคาไม่เกิน 20 บาท ซึ่งนมอัลมอนด์ของบลูไดมอนด์เค้าผลิตจากเมล็ดอัลมอนด์แท้นำเข้าจากแคลิฟอเนียร์
ปราศจากคลอเรสตอรอลและไม่มีส่วนผสมของนมเหลืองและนมวัวเช่นกัน

Blue Diamond Almond Breeze Almond Milk Unsweetened original(รสดั้งเดิมไม่หวาน) 25 แคล

จุดเด่นของยี่ห้อนี้อ๊อฟว่าทานง่าย สำหรับรสออริจินัลจะไม่หวานเลย และนมอัลมอนด์ของยี่ห้อนี้จะไม่เข้มข้น หนืดหรือฝืดคอ มีกลิ่นหอมบางๆ ของอัลมอนด์ อารมณ์เหมือนกินนมจืดประมาณนั้นเลย

Blue Diamond Almond Breeze Almond Milk Original(รสดั้งเดิมหวานน้อย) 45 แคล

ตัวนี้จะมีความหวานเล็กน้อย ไม่ได้หวานมากมาย อ๊อฟว่ากำลังดี กลิ่นหอมๆ ของอัลมอนด์และความหวานเบาๆ ลงตัว แช่เย็นๆ ทานแล้วสดชื่น

Blue Diamond Almond Breeze Almond Milk Vanilla Flavor(รสวานิลา) 60 แคล

ตัวนี้กรี๊ดมาก เพราะเป็นคนชอบกลิ่นวานิลา ชอบทานนมวานิลา มันจะหวานแบบนัวๆ ไม่ได้หวานเลี่ยน หวานหอม อร่อยอะ ชอบบบบ

Blue Diamond Almond Breeze Almond Milk Chocolate Flavor(รสช็อคโกแลต) 70 แคล

มาถึงรสช็อกโกแลต โดยรวมก็จะอารมณ์เหมือนโกโก้แบบหวานน้อย ตัวนี้อาจจะไม่ได้กลิ่นหอมของอัลมอนด์เท่าไหร่ เพราะกลิ่นของโกโก้มันกลบแต่ก็อร่อยเหมือนกัน ดีกว่าของ 137degrees เยอะเลย

มาถึงน้องใหม่อีกแบรนด์นึง ถ้าบอกชื่อก็คงร้อง อ๋อ เพราะเค้าเด่นในเรื่องน้ำผลไม้ นั่นก็คือ MALEE นั่นเอง
มาวันนี้เค้าทำน้ำ(นม)อัลมอนด์ออกมา ซึ่งเหมือนเดิมไม่มีส่วนผสมของนมผงและถั่วเหลือง
อ๊อฟซื้อมาจาก 7/11 แถวบ้าน ราคากล่องละ 25 บาท ไม่รู้ตอนนี้มีโปรโมชั่นหรือเปล่า

Malee Almond drink Honey with Vanilla Flavor (รสน้ำผึ้งวานิลา) 

อึกแรกที่ชิม ถึงกับอุทาน นี่มันน้ำอะไรเนี่ย ไม่อร่อยเลย สาบานว่าทานไม่หมดกล่อง อัลมอนด์แบบจางมากกก จางแบบสุดๆ แถมดันผสมน้ำผึ้งเข้ามาอีก ไม่เข้ากันอย่างแรง อย่าโกรธหนูน้าาา เพราะมันไม่อร่อยจริงๆ 

Malee Almond drink Original (รสดั้งเดิม) 80 แคล

หลังจากที่ลองรสน้ำผึ้งไปแล้ว ใจนึงก็ไม่อยากลองรสออริจินัลเลย แต่เอาวะ เป็นไงเป็นกัน ปรากฎว่ารสออรินัลโอเคเฉยเลย แปลกใจมาก เป็นนมอัลมอนด์แต่มีกลิ่นเมล็ดทานตะวันเด่นมาก มีความหวานจากดอกมะพร้าว พอทานได้ไม่ถึงกับแย่

สรุป ทั้งหมดก็เป็นเพียงความเห็นของอ๊อฟเท่านั้น บางคนทานอาจจะบอกว่าอร่อย วันนี้อ๊อฟเพียงมารีวิวไว้เป็นไกด์ไลน์เผื่อใครอยากจะลองทานนมอัลมอนด์ สุดท้ายนี้อยากจะบอกว่านมอัลมอนด์มันเหมาะเป็นมื้อว่าง มื้อเสริมระหว่างหรือ pre-workout มาก ไม่ควรทานเพื่อเป็นการลดน้ำหนักนะคะ ทานอาหารอะไรก็แล้วแต่อย่าลืมออกกำลังกาย เพื่อสุขภาพที่ดีและหุ่นสวยๆ กันนะคะ

สวัสดีค่ะ เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาอ๊อฟมีโอกาสได้ไปเยี่ยมเยียนร้านกาแฟของพี่ส้ม Beautybyorangina
Beauty Blogger คนสวยนั่นเองซึ่งวันนี้ไม่ได้จะมารีวิวกาแฟเพราะเป็นคนไม่ทานกาแฟ ใครที่เป็นคอกาแฟ
หรือชื่นชอบกาแฟดอยช้างน่าจะบอกได้ดีกว่าอ๊อฟค่ะ วันนี้อ๊อฟจะมารีวิวบรรยากาศซึ่งน่านั่งมากกกก
อยากรู้ว่าเป็นยังไงตามอ๊อฟเข้ามาเลยค่ะ

บรรยากาศภายในร้านตกแต่งสวยงาม ดูอบอุ่นมีมุมให้ถ่ายรูปสวยๆ ตั้งหลายรูป

ส่วนเมนูก็มีมากมายเลยค่ะ ไม่ได้มีเฉพาะแต่ชากาแฟนะคะพวกอิตาเลี่ยนโซดาก็มีค่ะ

วันนี้อ๊อฟเลือกทานชาพีชหอมๆ เย็นๆ กับเค้กชิ้นนึง จิ้มๆ ไปแต่ปรากฎว่าอร่อยมาก
มีหลายชั้นด้านบนเหมือนโรยด้วยผงโอวันติล อาหย่อยชอบๆ
ก็บอกแล้วว่ามุมถ่ายรูปเยอะเนาะ จะหยิบหนังสือมาอ่านที่นี่เค้ากมีให้อ่านนะคะเพลินๆ

ชอบตรงยังมีโทนสีเขียวให้รู้สึกสบายตาน่านั่ง ไม่ได้ดูเข้มอย่างเดียว

ที่นี่เค้ามีบริการ wifi ฟรีด้วยจะมานั่งเล่น นั่งทำงาน ทานขนมก็สะดวกสบาย

ในร้านไม่เล็กนะคะ โล่งๆ โปร่งสบายน่านั่ง

ใครที่อยู่แถวมีนบุรี หรือสุขา 3 ที่ชอบทานกาแฟก็แวะเวียนมาได้นะคะอยู่ในซอยรามคำแหง 185
หรือตรงซอยตลาดน้ำขวัญเรียมไม่ได้เป็นหน้าม้าเนาะ แค่ชอบสถานที่เพราะมันบรรยากาศดี วิวสวย
น่านั่งเลยเอามาแชร์กันนะจ๊ะ
สวัสดีค่ะ นอกจากอ๊อฟจะเป็น Beauty Blogger แล้ว อ๊อฟยังทำธุรกิจส่วนตัวด้วยค่ะ ที่บ้านอ๊อฟเปิดบริษัทเล็กๆ
ขายเครื่องปริ๊นเตอร์ คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ไอทีต่างๆ ซึ่งเป็น Home Office เล็กๆ อยู่ในหมู่บ้าน
แน่นอนว่าไม่มีร้านกาแฟเลยสักร้าน แต่ไม่ต้องห่วงค่ะ ถึงจะทำงานอยู่ที่บ้านก็มีกาแฟอร่อยๆ หลากหลายเมนู
เหมือนที่ร้านมาให้ดื่ม และตัวช่วยของอ๊อฟ นั่นก็คือ เครื่องชงกาแฟแคปซูลอัตโนมัติNescafe Dolce Gusto
(เนสกาแฟ ดอลเช่ กุสโต้) Piccolo ซึ่งชงง่ายมาก มีให้เลือกหลายรสชาติอีกต่างหาก
ที่สำคัญมันเหมาะสำหรับคนที่ชื่นชอบกาแฟหลากหลายเมนูแต่ไม่สะดวกออกไปทานที่ร้าน หรือมีพื้นที่จำกัด
แต่ไม่ต้องกังวลเพราะเครื่องชงกาแฟถูกออกแบบมาให้วางได้โดยไม่สิ้นเปลืองพื้นที่ด้วยขนาดที่เล็กกะทัดรัด
ลืมเรื่องพื้นที่ไปได้เลยสะดวกสบายแบบนี้เค้ามีแบบแพ็คเกจรายเดือนด้วยนะ
ซึ่งคำนวณแล้วคุ้มกว่าการออกไปนั่งทานกาแฟที่ร้านแน่นอน
ว่าแต่มีแพ็คเกจอะไรให้อ๊อฟเลือกบ้างนะ?
สำหรับคนที่มีออฟฟิศเล็กๆ แบบอ๊อฟ อ๊อฟแนะนำตัว Starter Set เหมาะสำหรับออฟฟิศที่มีสมาชิก 2-5 คน

หรือจำนวนคนมากขึ้นหน่อย ก็เป็นตัว Business Set สำหรับสมาชิก 5 คนขึ้นไปค่ะ

แต่ถ้าใช้ในบ้านอ๊อฟว่ารุ่น Piccolo ก็เหมาะค่ะ ด้วยราคาที่ถูกมาก ทำได้หลากหลายเมนูอ๊อฟว่ารุ่นนี้ก็คุ้มแล้ว
อีกทั้งยังสามารถสั่งซื้อเครื่องชงกาแฟแคปซูลอัตโนมัติง่ายๆ ได้ทางออนไลน์อีกด้วย
เรียกว่าสะดวกสบายตั้งแต่ซื้อแล้ว เพียงแค่คลิกลิงก์ข้างล่างเข้าไป
https://nescafedolcegusto.popsho.ps/
(ให้บริการรับประกันสินค้าถึง 2 ปี พร้อมกับคู่มือการใช้งาน)

ซึ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้าอ๊อฟเป็นเครื่องชงกาแฟแคปซูลอัตโนมัติ รุ่น Piccolo ซึ่งเห็นเครื่องจิ๋วแบบนี้แต่ก็แจ๋วมาก
เหมือนกันน้า ขนาดเครื่องเล็กกะทัดรัด สามารถควบคุมระดับน้ำได้ตามความพอใจ
สามารถสร้างสรรค์เมนูเครื่องดื่มได้ทันทีด้วยแคปซูล 6 แบบ 
ที่มาในเซ็ตพร้อมเครื่องชงกาแฟ แต่ที่อ๊อฟจะมารีวิวและสาธิตวิธีการชงให้ดูมีทั้งหมด 3 รสชาติด้วยกัน นั่นก็คือ
1. ESPRESSO กาเเฟคั่วบดอาราบิกาเเท้ 100 เปอร์เซนต์ ากอเมริกาใต้ ให้รสชาติเข้ม มีกลิ่นหอมของกาแฟคั่ว
2. CAPPUCCINO เครื่องดื่มร้อนจากกาแฟคั่วบดผสมนมสดแท้ให้รสชาติเข้มข้นกำลังดี และชั้นของฟองนมละมุน
3. GREEN TEA เครื่องดื่มชาเขียวปรุงสำเร็จเพิ่มรสชาติความอร่อยลงตัวด้วยนมสดแท้ มีความหอมของชาเขียว

เอ…แล้วมันดีกว่าเครื่องชงกาแฟธรรมดาทั่วไปยังไง แน่นอนอ๊อฟว่าดีกว่าเพราะสามารถชงได้ทั้งแบบร้อนและเย็น
มีเมนูให้เลือกมากมายหลากหลายเมนูไม่เฉพาะกาแฟ แต่ยังมีชาเชียวและชอคโกแลตอีกด้วย
ซึ่งราคาของรุ่นนี้ก็ไม่แพงเลย ราคาเพียง 1,990 บาทเท่านั้น

เห็นอย่างนี้แล้วอาจจะสงสัยว่าวิธีใช้เครื่องยุ่งยากหรือเปล่า แล้วดีกว่าออกไปทานที่ร้านกาแฟข้างนอกยังไง
อ๊อฟต้องบอกเลยว่ามันสะดวกสบายมาก อ๊อฟเอามาตั้งในออฟฟิศทำงานเลย อยากจะทานเมื่อไหร่ก็ชงได้ทันที
ไม่เกะกะพื้นที่ทำงานด้วยจะวางตรงไหน มุมไหนในออฟฟิศก็ได้ สามารถชงกาแฟแก้วโปรดได้ง่ายๆ
และออกมาอร่อยแน่นอน เนื่องจากเมล็ดกาแฟที่มีคุณภาพ บรรจุมาในแคปซูลที่กักเก็บความสดใหม่ของเมล็ด
กาแฟและแรงดันของเครื่องที่สูงถึง 15 บาร์ ทำให้มั่นใจได้เลยว่า จะได้กาแฟแก้วโปรดที่สุดแสนอร่อยแน่นอน
อ๊อฟทำแล้วชิมแทบทุกเมนูเลย 
มาเริ่มชงกาแฟกันเลยดีกว่า

ก่อนที่จะไปดูวิธีชงกาแฟเรามาทำความสะอาดเครื่องกันก่อนเนอะ เริ่มใช้งานครั้งแรกเติมน้ำดื่มในถังเก็บน้ำด้าน
หลังก่อน ซึ่งเค้าจะมีขีดบอกว่าให้เติมน้ำถึงขั้นไหน ใส่น้ำเสร็จก็ประกอบเข้ากับตัวเครื่องได้เลย

ยกคันโยกถาดใส่แคปซูลขึ้นแล้วเอาพลาสติกด้านในออก จากนั้นก็ปิดล็อค

กดปุ่มเปิดเครื่อง ไฟสีแดงจะกระพริบในขณะที่เครื่องกำลังเตรียมความร้อนและจะเปลี่ยนเป็นสีเขียวเมื่อพร้อมใช้
งานมีโหมดอีโคแสนสะดวก เครื่องชงกาแฟจะปิดการทำงานทันทีเมื่อไม่ใช้งานนานเกิน 5 นาที
ทำให้ไม่เปลืองไฟและช่วยประหยัดพลังงาน

โยกคันโยกไปที่เครื่องดื่มเย็น(สีฟ้า)เพื่อล้างเครื่อง เครื่องจะเริ่มล้างระบบหลังจากนั้นโยกกลับมาตรงกลาง

โยกคันโยกไปที่เครื่องดื่มร้อน(สีแดง)เพื่อล้างเครื่องด้วยน้ำร้อน เครื่องจะเริ่มล้างระบบหลังจากนั้นโยกกลับมา
ตรงกลางหลังจากนั้นเทน้ำด้านหลังออก เติมน้ำเข้าไปใหม่ ทีนี้เครื่องก็พร้อมทำงานแล้วค่ะ

มาเริ่มกันที่แก้วแรกเลยอ๊อฟจะบอกว่ามันชงง่ายมาก ใครๆ ก็ทำได้ แก้วแรกที่อ๊อฟจะมาสาธิตวิธีการชงนั้น
นั่นก็คือ ESPRESSO กาแฟเข้มๆ ชอตเดียวรู้เรื่อง ยกคันโยกถาดใส่แคปซูลขึ้น ใส่แคปซูลลงไป
จากนั้นปิดล็อคแล้วโยกคันโยกไปทางสีแดง

ชอบแบบอ่อนหรือแบบเข้มก็ปรับได้ตามความพอใจ ด้านบนกล่องนั้นจะมีบอกว่ากาแฟแบบไหนใช้น้ำเท่าไหนถึง
กำลังดี แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ปรับได้ตามความพอใจเลยค่ะ ไม่ถึง 30 วินาที กาแฟชอตข้นๆ ก็พร้อมเสิร์ฟแล้วค่ะ
อยากให้หน้าจอรับกลิ่นได้จัง(ทำเครื่องดื่มได้ 16 แก้ว ราคากล่องละ 329 บาท)

ถ้าถามถึงความหอม หอมมาก กลิ่นกาแฟหอมคละคลุ้งไปหมด ส่วนเรื่องรสชาตินี่อ๊อฟทานกาแฟไม่เก่งมาก
ดังนั้นกินไปขมแน่นอน แต่สำหรับคนที่ชื่นชอบกาแฟชอตเข้มๆ แบบนี้ รับรองว่ากาแฟร้อนๆ หอมๆ คงจะฟิน

เมนูต่อมา GREEN TEA เครื่องดื่มชาเขียว เริ่มจากใส่แคปซููลนมไปก่อนโยกคันโยกไปทางสีแดง
ตามที่กล่องกำหนดไว้แต่เราสามารถปรับความอ่อนเข้มตามใจเลย แก้วนี้อ๊อฟเลยกะให้นมปริมาณครึ่งแก้ว

หลังจากนั้นเปลี่ยนใส่แคปซูลชาเขียว แล้วโยกไปทางสีแดงเช่นเคย ชาเขียวหอมกรุ่นผสมกับนม
ด้านบนมีฟองนมนุ่มๆ อีก

แก้วนี้ต้องขอชิมเลยชาเขียวเข้มข้นมาก ตัวฟองนมก็นุ่มละมุนลิ้น รสชาติจะไม่หวานมาก ถ้าใครชอบทานหวานๆ
แนะนำเติมไซรัปหรือน้ำตาลได้ค่ะ แต่อ๊อฟว่ารสชาติที่เค้าทำมากำลังพอดีเลย ไม่หวานจนเกินไป 
(ทำเครื่องดื่มได้ 8 แก้ว ราคากล่องละ 329 บาท )

มาต่อกันที่เมนู CAPUCCINO แก้วนี้อ๊อฟทานได้แน่นอน กาแฟคั่วบดผสมนมสดพอมีนมผสมค่อยทานง่ายหน่อย
เหมือนเดิมค่ะใส่แคปซูลนมก่อน จะชงตามที่เค้ากำหนดหรือปรับแต่งเองได้ นมร้อนๆ ออกมาแล้ว

หลังจากนั้นใส่แคปซูลกาแฟปิดล็อค แล้วโยกคันโยกไปทางสีแดง เพียงแค่นี้กาแฟก็พร้อมเสิร์ฟอีกแก้วแล้ว
(ทำเครื่องดื่มได้ 8แก้ว ราคากล่องละ 329 บาท )

รสชาติกลมกล่อมกำลังดี ไม่ขมจนเกินไป นอกจากเมนูร้อน เมนูเย็น ก็ทำได้เหมือนกัน  ดีขนาดนี้รีบไปสมัคร
แพ็คเกจรายเดือนเลยนะเริ่มต้นเพียง 3 กล่อง หรือ 897 บาทต่อเดือน ก็ได้ฟรีทั้งเครื่องชงกาแฟและที่ใส่แคปซูล
หรือส่วนลดค่าแคปซูลอีกที่สำคัญส่งฟรีถึงหน้าบ้านเลย โปรโมชั่นดีๆ แบบนี้รีบกันหน่อยเนอะ